ปฏิวัติ หรือ การปฏิวัติ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากระบบเดิม
ยกเลิกระบบเดิม ใช้ระบบใหม่ หรือ การรื้อโครงสร้างเดิมเป็นส่วนใหญ่
หรือจะใช้เป็นคำที่อธิบายว่ามีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เช่น ปฏิวัติตนเอง
คือปรับปรุงตัวเองใหม่ จากหน้ามือเป็นหลังมือเป็นต้น
คำว่าปฎิวัติในภาษาอังกฤษ มีรากศัพท์จากภาษาละตินคือ revolutio และ revolvere แปลว่าการหมุนรอบ หรือแปลได้อีกทางหนึ่งว่าการพลิกฟ้าควำ่แผ่นดิน (to turn around) คำนี้มีใช้ทั่วไปในทางสังคมศาสตร์ แต่ก็มีใช้ในทางวิทยาศาสตร์เช่นกันเช่นการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
คำว่าปฎิวัติในภาษาอังกฤษ มีรากศัพท์จากภาษาละตินคือ revolutio และ revolvere แปลว่าการหมุนรอบ หรือแปลได้อีกทางหนึ่งว่าการพลิกฟ้าควำ่แผ่นดิน (to turn around) คำนี้มีใช้ทั่วไปในทางสังคมศาสตร์ แต่ก็มีใช้ในทางวิทยาศาสตร์เช่นกันเช่นการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
สารานุกรมเมอร์เรียม-เวบสเตอร์ (Merriam-Webster
Encyclopedia) อธิบายว่า
การปฏิวัติในทางการเมืองนั้นคือการเปลี่ยนแปลงการตัดรูปแบบของการเมืองการปกครองในระดับฐานราก
(fundamentally) สารานุกรมบริทานิกา คอนไซส์ (Briyanica
Concise Encyclopedia) อธิบายว่าการปฏิวัติในทางสังคมศาสตร์
และในทางการเมืองคือการกระทำความรุนแรงต่อโครงสร้าง, ระบบ,
สถาบัน ฯลฯ ทางสังคมการเมือง
การปฏิวัติทางสังคมการเมืองจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากมาตรฐานต่างๆที่สังคมการเมืองเป็นอยู่เดิม
เพิ่มจัดตั้ง หรือสถานามาตรฐานของสังคมการเมืองแบบใหม่ให้เกิดขึ้น
โดยสรุปการปฏิวัติมีความหมายว่าการเปลี่ยนแปลงระบอบ (regime) ในทางสังคมการเมืองอาทิ วัฒนธรรมทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง เป็นต้น การปฏิวัติจึงไม่ต่างจากการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางการเมือง (political paradigm) ซึ่งเกิดได้ยากกว่าการรัฐประหาร ซึ่งเพียงการเปลี่ยนแปลงระบบทางการเมือง (political system) อาทิ ผู้นำของรัฐ (head of state) หรือรัฐบาล (government) เท่านั้น[4]
อนึ่งการปฏิวัติทางการเมืองเป็นมโนทัศน์ที่สำคัญในการอธิบายการปฏิวัติสังคมในลัทธิทรอทสกี้ (Trotkyism)
รัฐประหาร หรือ การรัฐประหาร (ฝรั่งเศส: coup
d’état กูเดตา) ในวิชาการพัฒนาการเมืองซึ่งเป็นสาขาวิชาทางรัฐศาสตร์ จะถือว่าการรัฐประหารไม่ใช่วิธีทางของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และถือเป็นความเสื่อมทางการเมือง (political decay) แบบหนึ่ง
รัฐประหาร หมายถึงการล้มล้างรัฐบาลที่บริหารปกครองรัฐในขณะนั้น
แต่มิใช่การล้มล้างระบอบการปกครองหรือรัฐทั้งรัฐ
และมิจำเป็นต้องมีการใช้ความรุนแรงหรือนองเลือดเสมอไป
เช่นหากกลุ่มทหารอ้างว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งบริหารประเทศชาติผิดพลาด
และจำเป็นต้องบังคับให้รัฐบาลพ้นจากอำนาจ จึงใช้กำลังบังคับให้ออกจากตำแหน่งและประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
หรือประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ทันที เยี่ยงนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการก่อรัฐประหาร
ความพยายามในการก่อรัฐประหารที่ไม่ประสบความสำเร็จมักถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ
ความพยายามในการก่อรัฐประหารที่ไม่ประสบความสำเร็จมักถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ
คำว่า รัฐประหาร มาจากคำภาษาฝรั่งเศส คือ coup d’état ซึ่งหากแยกพิจารณาจากการสนธิคำจะแปลตรงตัว่าว่า
การล้มล้างอย่างเฉียบพลัน (coup = blow of) ต่อรัฐ
(d’état = on state)
ในพจนานุกรมบริทานิกา คอนไซส์ (Britannica Concise Encyclopedia) นิยามว่า
คือ การยุบเลิกรัฐโดยฉับพลัน (stroke of state) การเข้ามาเถลิงอำนาจโดยเฉียบพลัน
มักจะเกิดด้วยความรุนแรง การรกระทำดังกล่าวกระทำการโดยกลุ่มก่อการ
(a group of conspirators) การรัฐประหารจะเกิดในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองต่ำ
หรือไม่ก็ไร้เสถียรภาพทางการเมือง
ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยการรัฐประหารมักไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนพจนานุกรรมศัพท์ทางการทหารของออกซ์ฟอร์ด (Oxford Companion to
Military History) อธิบายว่าความพยายามในการเปลี่ยนแปลกคณะปกครอง
หรือรัฐบาลด้วยกำลัง โดยมากมักเกิดจากกองทัพ พจานุกรมศัพท์ทางทหารอเมริกันของออกซ์ฟอร์ด
(Oxford Dictionary of the US Military) นิยามว่า
คือการเข้ามาเถลิงอำนาจในรัฐบาลอย่างรวดเร็ว รุนแรง และผิดกฎหมาย พจนานุกรมศัพท์ทางการเมืองของออกซ์ฟอร์ด (Oxford Dictionary of
Politics) การยุบเลิกรัฐบาลอย่างกระทันหันด้วยกำลังที่ผิดกฎหมาย
มักกระทำการโดยกองทัพ หรือส่วนหนึ่งของกองทัพ
รัฐประหารมักเกิดขึ้นโดยความไม่เห็นชอบของประชาชน
หรือไม่ก็มักเป็นความจากประชาชนบางส่วน ซึ่งมักเป็นชนชั้นกลาง
หรือไม่ก็ด้วยความร่วมมือของพรรคการเมือง หรือกลุ่มทางการเมือง
โดยสรุปการรัฐประหารคือการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองรัฐ
(head of state) หรือรัฐบาล (government) โดยเฉียบพลันด้วยกำลัง
ความรุนแรง และผิดกฎหมาย โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (regime)
รัฐประหารในประเทศไทย
คณะรัฐประหารในประเทศไทยที่ก่อการสำเร็จมักจะเรียกตนเองหลังก่อการว่า “คณะปฏิรูป” หรือ “คณะปฏิวัติ” เพื่อให้มีความหมายไปในเชิงบวก อย่างไรก็ตามมีผู้เสนอว่าการ “ปฏิวัติ” หรือ “อภิวัฒน์” (revolution) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงครั้งเดียวคือเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
คณะรัฐประหารในประเทศไทยที่ก่อการสำเร็จมักจะเรียกตนเองหลังก่อการว่า “คณะปฏิรูป” หรือ “คณะปฏิวัติ” เพื่อให้มีความหมายไปในเชิงบวก อย่างไรก็ตามมีผู้เสนอว่าการ “ปฏิวัติ” หรือ “อภิวัฒน์” (revolution) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงครั้งเดียวคือเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
ผู้ที่ก่อการรัฐประหารได้สำเร็จในประเทศไทยมาจากฝ่ายทหารบกทั้งสิ้น ส่วนทหารเรือได้มีความพยายามในการก่อรัฐประหารแล้วแต่ไม่สำเร็จเป็นกรณีกบฏวังหลวง ใน พ.ศ. 2492 และ กบฎแมนฮัตตันใน พ.ศ. 2494 หลังจากนั้นทหารเรือก็เสียอำนาจในแวดวงการเมืองไทยไป
1.
รัฐประหาร 1 เมษายน พ.ศ. 2476 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
2.
รัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นำโดยพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจรัฐบาล พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
3.
รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์
ธำรงนาวาสวัสดิ์
4.
รัฐประหาร 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทำการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
5.
รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
6.
รัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม
7.
รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร (ตามที่ตกลงกันไว้)
8.
รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 นำโดย จอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
9.
รัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์
ปราโมช
10.
รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล นายธานินทร์
กรัยวิเชียร
11.
รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย
ชุณหะวัณ
12.
รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นำโดย พล.อ.สนธิ
บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในขณะนั้น พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี
ได้เดินทางไปต่างประเทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น