วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

แนวคิดสำคัญในทางรัฐศาสตร์


 

รัฐศาสตร์ หรือ Political Science มาจากคำว่า Politics (การเมือง) + Science (ศาสตร์) แต่ที่ใช้ภาษาไทยว่ารัฐศาสตร์เพราะในยุคหนึ่งนักวิชาการเชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องของรัฐ ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็คือศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของรัฐ

การเมืองคือ

1. การเมืองเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับรัฐ (State)

อริสโตเติล เขียนหนังสือชื่อ Politics (มาจากคำว่า Polis แปลว่ารัฐ) กล่าวว่า รัฐเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับชีวิตมนุษย์

นักคิดในยุคหลังอย่างศาสตราจารย์ทางรัฐศาสตร์ชื่อ แฟรงค์ เจ. กู๊ดนาว (Frank J. Goodnow) ค.ศ. 1904 ได้เสนอแนวคิดว่า รัฐศาสตร์คือศาสตร์ซึ่งว่าด้วยองค์กรอันเป็นที่รู้จักกันในนาม “รัฐ”

นิยามของรัฐ

1. กลุ่มคนที่รวมตัวกันเป็นระเบียบและอาศัยในอาณาเขตร่วมกัน มีอำนาจอธิปไตยสูงสุดในอาณาเขตนั้น ๆ (Harold Lasswell และ Abraham Caplan)

2. องค์กรที่มีอำนาจผูกขาดในการใช้กำลังหรือใช้ความรุนแรงทั้งหลาย (Max Weber) เช่น ประกาศสงคราม

3. กลุ่มคนในอาณาเขตใด ๆ รัฐหนึ่ง ๆ จะมีรูปแบบที่มีคนจำนวนหนึ่งมีอำนาจเหนือกลุ่มคนทั้งหมด อำนาจนี้อาจมาจากการใช้กำลังหรือใช้วิธีการทางจิตวิทยาก็ได้ (Julius Gould and William Kolb)

สรุป

1. รัฐเป็นองค์กรทางการเมืองที่มีสภาพต่างจากสังคมธรรมดา โดยจะเน้นที่มิติทางการเมืองคือจะกล่าวถึงเรื่องอำนาจ อำนาจหน้าที่ มีการกำหนดโครงสร้างของรัฐบาล ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง ฯลฯ

2. องค์กรทางการเมืองที่เรียกว่ารัฐชาติหรือรัฐประชาชาติ (Nation State)

3. มีความหมายเท่ากับมลรัฐ คือเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐหรือสหรัฐ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาประกอบด้วยมลรัฐต่าง ๆ 50 มลรัฐ

องค์ประกอบของรัฐ

1. ประชากร (Population) จะมากหรือน้อยไม่สำคัญ

2. อาณาเขตหรือดินแดน (Territory) ทั้งแผ่นดิน ในทะเล อากาศ ไหล่ทวีป

3. รัฐบาล (Government) เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐ ทำหน้าที่ดำเนินกิจการแทนรัฐในนามประชาชน ในอาณาเขตที่แน่นอนและเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐอื่น หรือหมายถึงคณะบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายอำนาจให้ทำหน้าที่บริหารประเทศ

4. อำนาจอธิปไตย (Sovereignty) เป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ แบ่งเป็นสามอำนาจคืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ

 

ชาติ (Nation) เป็นศัพท์ทางสังคมวิทยา หมายถึง

1. กลุ่มประชากรภายในประเทศหนึ่งภายใต้รัฐบาลที่เป็นเอกราช

2. คนกลุ่มหนึ่งที่มีสถาบันและขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายคลึงกัน มีความกลมเกลียวคือเข้ากันได้ทางสังคมและมีจุดสนใจคล้าย ๆ กัน

3. สังคมซึ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ที่มีวัฒนธรรมและความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ใครมาแตะชาติไม่ได้

องค์ประกอบของชาติ

1. มีความผูกพันต่อถิ่นที่อยู่อาศัย

2. มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน

3. มีวัฒนธรรมร่วม

4. ต้องการที่จะเป็นอิสระในการดำเนินชีวิต

มีชาติอาจไม่มีรัฐก็ได้ เช่น ชนชาติกะเหรี่ยงมีองค์ประกอบความเป็นชาติครบถ้วน แต่ไม่มีรัฐกะเหรี่ยง แต่ถ้ามีรัฐต้องมีชาติ (ประชากรหลากหลายชนชาติอาศัยอยู่ในรัฐเดียวกัน)

ข้อด้อยของนิยามที่ว่าการเมืองคือเรื่องของรัฐ (นิยามของแฟรงค์ เจ. กู๊ดนาว)

1. การบอกว่าการเมืองเป็นเรื่องราวของรัฐเป็นแนวคิดที่ตายตัวเกินไป มองแค่องค์กรที่มีการจัดตั้งจากอำนาจรัฐ ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์บางปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเขตแดนรัฐได้ เช่น สงครามปฏิวัติ จักรวรรดินิยม ว่าปรากฏการณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไร

2. เน้นโครงสร้างที่เป็นทางการเป็นหลัก (องค์กร สถาบันที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้อำนาจรัฐ) เช่น รัฐบาล รัฐสภา พรรคการเมือง ฯลฯ โดยไม่ให้ความสำคัญกับกลุ่มอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่เป็นทางการ เช่น การรวมตัวกันของประชาชนในนามของสมัชชาคนจน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นปช. การทำกิจกรรมของกลุ่มเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น

2. การเมืองคือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ (Power) และอิทธิพล

ฮาร์โรลด์ ลาสเวลล์ (Lasswell) กล่าวถึงรัฐศาสตร์ในฐานะที่เป็นการศึกษาเชิงประจักษ์ว่าคือการศึกษากระบวนการขัดเกลาและการเข้าไปมีส่วนร่วมในอำนาจนั่นเอง และให้นิยามว่าการเมืองคือเรื่องของการที่ใคร ได้อะไร เมื่อใด และได้อย่างไร (Politics is who gets what, when and how)

(การศึกษาเชิงประจักษ์คือการศึกษาที่ใช้ข้อมูลที่เป็นจริง สามารถวัดได้ แจงนับได้)

ใคร ๆ ก็อยากได้อำนาจเพราะอำนาจทำให้สง่าผ่าเผย ตอนไม่มีอำนาจต้องพยายามเข้าหาคนทุกชนชั้นทุกหมู่เหล่าเพื่อขอคะแนน แต่เมื่อได้มาซึ่งอำนาจบุคลิกภาพจะเปลี่ยนไปทันที จากนอบน้อมถ่อมตนกลายเป็นคนมีมาด และหายหัวไปเลยจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ บางคนรู้ดีว่าตนไม่มีวาสนาจะได้มีอำนาจขอแค่เป็นวอลเปเปอร์ให้ผู้มีอำนาจก็พอ

ลาสเวลล์และแคพแลน (Lasswell and Kaplan) กล่าวว่า อำนาจคือความสามารถที่จะสร้างผลกระทบหรือที่จะควบคุมการตัดสินใจ พฤติกรรม นโยบาย ค่านิยม หรือโชคชะตาของผู้อื่นได้ ได้ เช่น โจรเอาปืนมาจี้แล้วบอกให้เรายกมือขึ้นมีอะไรในกระเป๋าส่งมาให้หมด เราต้องทำตามคำสั่งของโจรแสดงว่าโจรมีอำนาจในการกำกับควบคุมพฤติกรรมของเราให้เป็นไปตามที่โจรปรารถนา

สำหรับคำว่าอำนาจมีคำที่เกี่ยวข้องคือ

-อำนาจหน้าที่ (Authority) คือ อำนาจ + ความชอบธรรม (Power + Legitimacy) อันหมายถึงการที่ประชาชนให้การยอมรับ เชื่อฟัง ยอมปฏิบัติตามคำสั่งโดยถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องควรกระทำ กรณีโจรจี้เรายอมทำตามเพราะโจรมีอำนาจเหนือเราในช่วงเวลานั้น แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำให้เราต้องเสียทรัพย์มากกว่าที่ต้องเสียให้โจรด้วยซ้ำไปโดยที่เขาไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเลย คนกลุ่มนี้คือเจ้าหน้าที่สรรพากร แม้เราไม่อยากให้ก็ต้องให้ด้วยรู้ว่าสรรพากรมีหน้าที่ตามกฎหมาย และเราผู้เป็นราษฎรก็มีหน้าที่เสียภาษี ความแตกต่างระหว่างสรรพากรกับโจรอยู่ที่ Legitimacy โจรมีแค่ Power แต่เจ้าหน้าที่สรรพากรมี Authority (Power + Legitimacy) มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะเก็บภาษีจากประชาชน และประชาชนเองยอมรับเชื่อฟังปฏิบัติตามสรรพากร

แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน กล่าวถึงที่มาของความชอบธรรมดังนี้

1) ประเพณี (Tradition) เป็นความชอบธรรมที่มักเกิดขึ้นในสังคมแบบดั้งเดิม เช่น สังคมชนเผ่า ลูกเผ่าเชื่อฟังหัวหน้าเผ่าเพราะหัวหน้าเผ่าขึ้นสู่ตำแหน่งตามธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมาของเผ่า เช่น หัวหน้าเผ่าผู้ชราส่งมอบตำแหน่งให้ทายาทมีพ่อมดหมอผีมาทำพิธี ก่อกองไฟกันสักกองหนึ่ง หมอผีร่ายเวทมนต์เชิญเทพยดาฟ้าดินมาเป็นพยานแล้วเอามงกุฎหรือคฑามอบให้ลูกชาย เป็นสัญลักษณ์ว่านี่คือผู้นำคนใหม่คำพูดของผู้นำคือกฎหมาย ที่สมาชิกในเผ่าต้องเคารพเชื่อฟัง

2)  บารมี (Charisma) มักเกิดในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงหรือช่วงของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอกราช จะเกิดผู้นำที่มิใช่ทายาทของผู้นำเก่า เป็นคนมีบารมีคือมีลักษณะพิเศษที่ทำให้คนในสังคมยอมเชื่อฟังปฏิบัติตาม เช่น มหาตมะ คานธี เป็นคนแก่ตัวผอมถือไม้เท้าเดินยักแย่ยักยัน เมื่อเกิดสงครามศาสนาระหว่างคนฮินดูกับคนมุสลิมคานธีประกาศอดอาหารจนกว่าคนทั้งสองศาสนาจะหยุดรบกัน ทั้งสองฝ่ายเกรงว่าคานธีจะเสียชีวิตก็หยุดรบกันจริง ๆ ผู้นำบารมีคนอื่น ๆ เช่น เหมาเจ๋อตุง โฮจิมินห์ ซูกาโน

3)  กฎหมายหรือตรรกะนิตินัย (Legal) เช่น เราปฏิบัติตามคำสั่งของ เจ้าหน้าที่สรรพากร เพราะคนเหล่านี้มีอำนาจตามกฎหมาย (กติกาที่สังคมใดสังคมหนึ่งตราขึ้นมาบังคับใช้ เพื่อควบคุมพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนของคนในสังคมให้เป็นไปตามแนวทางที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่สังคมโดยรวม) กฎหมายเป็นที่มาของความชอบธรรมสมาชิกต่างให้การเกื้อหนุน ยอมรับ และปฏิบัติตามคำสั่ง

-อิทธิพล (Influence) เป็นคำที่ถูกตีความไปในแง่ลบ ทั้ง ๆ ที่ความหมายจริง ๆ แล้วหมายถึง ความสามารถในการโน้มน้าวให้บุคคลยอมรับหรือกระทำการใด ๆ แม้ว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะกระทำก็ตาม เช่น พ่อแม่มีอิทธิพลต่อลูก ลูกต้องเรียนอย่างที่พ่อแม่ต้องการ ครูบาอาจารย์มีอิทธิพลต่อลูกศิษย์ เช่น สมัยเด็ก ๆ อาจารย์เรียนภาษาอังกฤษเก่ง ครูสอนภาษาอังกฤษเลยแนะนำว่าควรเรียนรัฐศาสตร์เผื่ออนาคตจะได้เป็นนักการทูต

อิทธิพลเกี่ยวข้องกับการเมืองคือ นักการเมืองส่วนใหญ่ใช้อิทธิพลเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือแก่ตน ว่าตนเองมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าไปนั่งในตำแหน่งแห่งอำนาจ ในช่วงหาเสียงหรือฤดูนับญาตินักการเมืองพยายามโน้มน้าวให้ประชาชนเลือกตนเข้าไปนั่งในสภา และต้องใช้ตัวช่วย เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครูใหญ่ เจ้าอาวาส เพื่อให้คนเหล่านี้โน้มน้าวให้ชาวบ้านมาเลือกผู้สมัครเบอร์นั้นเบอร์นี้ ถ้ากำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าอาวาส หรือครูใหญ่ สามารถโน้มน้าวให้ชาวบ้านเลือกผู้สมัครของตนได้มากที่สุดโดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด คน ๆ นั้นก็ถือว่ามีอิทธิพลมาก

อาจารย์ลองถามนักศึกษาดูว่าใครมีอิทธิพลมากที่สุดแถวอีสาน นักศึกษาตอบว่าเนวิน แต่อาจารย์คิดว่าหลวงพ่อคูณเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในจังหวัดนครราชสีมาและแถบภาคอีสาน ใช้ทรัพยากรเพียงเล็กน้อยแค่นำหนังสือพิมพ์เก่า ๆ มาม้วนแล้วเคาะหัวประชาชนพร้อมพูดว่า “เลือกเบอร์ 1 เด้อ เลือกเบอร์ 1 เด้อ” คนก็เลือกเบอร์ 1 กันหมด นี่คือการใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดไม่ต้องมีเงินเป็นหมื่นล้านไม่ต้องโฟนอินแต่ได้ผลมากที่สุด มีอำนาจในการโน้มน้าวสูงชี้ให้เห็นว่าท่านมีอิทธิพลมาก นักศึกษาอย่าคิดว่าอิทธิพลคือการใช้อำนาจมืด ใช้กำลังซ่องสุม แต่เป็นเรื่องของความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้อื่น การเมืองไทยมีเรื่องของอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา

3. การเมืองเป็นเรื่องการใช้อำนาจในการแจกแจงแบ่งสรรสิ่งที่มีคุณค่าของสังคม

เดวิด อีสตัน (David Easton) มองว่า การเมืองเป็นเรื่องของการใช้อำนาจอันชอบธรรมในการแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าของสังคม โดยที่ผลที่ออกมาจากการตัดสินใจจะผูกมัดกับทุกคนในสังคม เช่น พรรคการเมืองเสนอนโยบายเพื่อหวังจะสร้างการกินดีอยู่ดี นำงบประมาณ กำลังคนภาครัฐ และเครื่องไม้เครื่องมือที่มีมาบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน

สรุป เราจะเข้าใจการเมืองได้ดีก็ต่อเมื่อเรามองการเมืองจากสามมุมองหลักดังต่อไปนี้

มุมมองแรก  เราอาจจะเข้าใจการเมืองได้จากประโยคที่เชื่อว่าเป็นกิจกรรมที่เป็นการเมืองโดยธรรมชาติ ได้แก่

1.  การเมืองเป็นเรื่องของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบันและการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล สถาบันสำคัญทางการเมือง เช่น พรรคการเมือง รัฐสภา รัฐบาล พฤติกรรมต่าง ๆ ของสมาชิกสถาบันเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการประชุมสภา การประชุม ครม. และอื่น ๆ

2.  การเมืองเป็นเรื่องของการแจกแจงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด งบประมาณแต่ละปีมีอยู่อย่างจำกัด ทำอย่างไรจึงจะนำงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้นมาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้

3.  การเมืองเป็นปฏิกิริยาของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ การเมืองเป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ

มุมมองที่ 2 มองการเมืองจากคำถามคำตอบที่ควรตั้งเพื่อที่จะเข้าใจการเมือง ได้แก่

1.  ทำไมกลุ่ม/องค์กร พรรคการเมืองใด ๆ สามารถดำรงอยู่ได้ท่ามกลางอุปสรรคและกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น พรรคประชาธิปัตย์ สามารถดำเนินงานทางการเมืองอย่างต่อเนื่องได้หกสิบกว่าปี ทำไมบางพรรคอยู่ไม่นานก็หายไป คำตอบก็เป็นเรื่องของการเมืองนั่นเอง

2.  ทำไมคนบางคนบางกลุ่มจึงสามารถขึ้นสู่อำนาจและรักษาอำนาจเอาไว้ได้ ในขณะที่บางคนไม่สามารถรักษาอำนาจไว้ได้ในเวลาอันสมควรอยู่ได้แค่ในระยะสั้น ๆ เท่านั้น แถมบางคนไม่สามารถขึ้นสู่อำนาจได้เลยไม่ว่าจะพยายามมากี่ครั้งแล้วก็ตาม คำตอบเป็นเรื่องของการเมือง

3.  สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในแบบใดที่นำไปสู่การปกครองในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น ประเทศที่ใช้อุดมการณ์สังคมนิยมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต รัฐเข้าไปกำกับควบคุมปัจจัยการผลิตของสังคมนำไปสู่การแจกแจงแบ่งสรรทรัพยากรบนพื้นฐานของความเป็นธรรมเน้นความกินดีอยู่ดีของสังคมโดยรวม (Well-being) เพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้นให้แคบลงโดยใช้นโยบายรัฐสวัสดิการ (Welfare State) เช่น เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี เรียนจบแล้วมีงานทำ ตกงานรัฐมีเงินช่วยเหลือให้ ระหว่างนั้นรัฐก็ต้องหางานใหม่ให้ด้วย ถ้าไม่มีความรู้ในงานใหม่แต่เป็นงานที่อยากทำ รัฐก็จะจัดโครงการต้นกล้าอาชีพให้ นำมาอบรมจนทำงานเป็นแล้วให้ทำงาน สังคมแบบนี้มักมีรูปแบบการปกครองเป็นเผด็จการ (Dictatorship) รัฐต้องมีอำนาจมากในการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามอุดมการณ์สังคมนิยม ในทางตรงข้ามสังคมที่ยึดมั่นอุดมการณ์เศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่ให้เสรีภาพในการประกอบการบนพื้นฐานความเชื่อว่า คนเราเกิดมามีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน ใครมีความสามารถมากกว่ามีสิทธิที่จะใช้สิ่งที่ตนเองมีดำเนินการเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง ลัทธิทางเศรษฐกิจแบบนี้มักเอื้อต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ลัทธิเศรษฐกิจแบบหนึ่งจะเอื้อต่อรูปแบบการเมืองการปกครองแบบหนึ่ง

มุมมองที่สาม จะมองการเมืองจากกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่สำคัญๆ ได้แก่

1.  การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง อาจเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่าง ๆ หรือ ความขัดแย้งระหว่างผู้นำทางการเมืองด้วยกัน

2.  การเมืองเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ

3.  การเมืองเป็นเรื่องของกิจกรรมของผู้นำ

4.  การเมืองเป็นเรื่องของการตัดสินใจของผู้มีอำนาจหน้าที่ทางการเมือง

คำตอบเกี่ยวกับการเมืองมีหลายคำตอบขึ้นอยู่กับมุมมองของนักวิชาการแต่ละคนว่าจะเน้นศึกษาการเมืองในแง่ใด แต่ละมุมมองทำให้นักวิชาการกำหนดยุทธวิธีในการศึกษาทำความเข้าใจการเมืองแตกต่างกัน ยุทธวิธีในการศึกษาการเมืองหรือ Approach จึงมีอยู่มากมาย โดยแต่ละ Approach มีพื้นฐานความเชื่อว่าการเมืองคืออะไรแตกต่างกันไป เช่น

-Power Approach มองว่า การเมืองคือการต่อสู้เพื่ออำนาจ

-Interest Group Approach มองว่า การเมืองเป็นความขัดแย้งในผลประโยชน์

-System Approach มองว่า การเมืองเป็นเรื่องของการใช้อำนาจอันชอบธรรมในการแจกแจงแบ่งสรรทรัพยากรและสิ่งมีคุณค่าในสังคม ผลที่ได้จาการตัดสินใจของผู้มีอำนาจจะบังคับใช้กับคนทุกคน

-Elite Approach มองว่า การเมืองเป็นกิจกรรมของชนชั้นนำ

-Decision Making Approach มองว่า การเมืองเป็นการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ

เห็นได้ว่าแต่ละ Approach มองการเมืองในมุมมองที่แตกต่างกันไป เพราะนักวิชาการแต่ละคนพยายามสร้างเครื่องมือในการทำความเข้าใจการเมืองจากมุมมองของตนเอง ทำให้มี Approach มากมายในการศึกษา

(อาจารย์เคยออกข้อสอบว่า จากมุมมองการเมืองที่แตกต่างกันไปยังผลให้เกิด Approach ต่าง ๆ ตามมามากมาย จงยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน)

พื้นฐานความเชื่อร่วมกันของคำว่าการเมือง

นักวิชาการแต่ละคนอาจจะมองการเมืองแตกต่างกัน แต่นักวิชาการเหล่านี้มีพื้นฐานความเชื่อเกี่ยวกับการเมืองร่วมกันคือ

1. ทุกสังคมมีปัญหาหลักเหมือนกันคือการขาดแคลนทรัพยากร อุปสงค์ (Demand) จะมีมากกว่าอุปทาน (Supply) อยู่ตลอดเวลา งบประมาณ กำลังคน เครื่องไม้เครื่องมือของรัฐมีอยู่อย่างจำกัด แต่ความต้องการของประชาชนมีมากมายเกินกว่าที่งบประมาณของรัฐจะสนองได้

2. ความจำเป็นที่ต้องมีรัฐบาล เมื่อทรัพยากรมีน้อยความต้องการมีมากเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดความโกลาหลในสังคมอันเนื่องมาจากกลุ่มคนที่แข็งแรงกว่าเข้ามาแก่งแย่งทรัพยากรของสังคมเพื่อเอาประโยชน์ให้แก่กลุ่มของตน ทุกสังคมจึงจำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรขึ้นมาทำหน้าที่แจกแจงแบ่งสรรทรัพยากรของสังคมคือรัฐบาล รัฐบาลจะทำหน้าที่แจกแจงทรัพยากรบนพื้นฐานการยอมรับของสมาชิกในสังคม

3. ในกระบวนการของการแจกแจงทรัพยากรของรัฐจะมีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์เพราะงบประมาณมีจำกัด

4.  ในทุกสังคมคนที่ได้ประโยชน์ (Haves อ่านว่าแฮฟส์ ไม่ใช่ฮาเวส) เป็นคนจำนวนไม่มาก กลุ่มที่เสียประโยชน์ (Have - nots) มีจำนวนมากกว่าและมองว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม

5. กลุ่มที่เสียประโยชน์พยายามรวมตัวกันเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง รุกเร้าขอให้รัฐดำเนินการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มตนเองบ้าง อาจดำเนินการตามกฎหมาย สันติวิธี หรือใช้กำลังรุนแรง

6.  ในขณะเดียวกันกลุ่มที่ได้ประโยชน์อยู่แล้วก็พยายามต่อต้านกลุ่มที่เรียกร้องโดยอ้างว่ารัฐบาลทำดีอยู่แล้ว

7. กลุ่มที่ได้ประโยชน์อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบอยู่แล้วมีโอกาสเหนือกลุ่มอื่น ๆ จะใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อรักษาสถานภาพที่ได้เปรียบของตนเองเอาไว้  โดยส่วนใหญ่กลุ่ม Haves จะเป็นผู้ปกครอง ชนชั้นสูง นายทุนซึ่งได้ประโยชน์จากการดำเนินการของรัฐ ออกกฎเกณฑ์กติกาป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาแย่งชิงผลประโยชน์ของตน เช่น สร้างความเชื่อว่าที่ประชาชนเกิดมาอดอยากยากแค้นเพราะชาติที่แล้วทำกรรมไว้มาก ผู้ปกครองที่มีอำนาจวาสนาบารมีเพราะชาติที่แล้วทำบุญ เพราะฉะนั้นคนจนก็ควรก้มหน้ารับกรรมแล้วทำสมาธิอย่าไปคิดอะไรให้มาก

สรุป การเมืองจึงเป็นเรื่องของปฏิกริยาระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง และเป็นการแก่งแย่งสิทธิที่จะมีอำนาจในการปกครองระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเองอีกด้วย การรัฐประหารก็คือการแย่งอำนาจระหว่างผู้ปกครองด้วยกันนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น