รัฐศาสตร์ หรือ Political Science มาจากคำว่า Politics (การเมือง) + Science (ศาสตร์)
แต่ที่ใช้ภาษาไทยว่ารัฐศาสตร์เพราะในยุคหนึ่งนักวิชาการเชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องของรัฐ
ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็คือศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของรัฐ
การเมืองคือ
1. การเมืองเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับรัฐ (State)
อริสโตเติล เขียนหนังสือชื่อ Politics (มาจากคำว่า Polis แปลว่ารัฐ) กล่าวว่า
รัฐเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับชีวิตมนุษย์
นักคิดในยุคหลังอย่างศาสตราจารย์ทางรัฐศาสตร์ชื่อ แฟรงค์
เจ. กู๊ดนาว (Frank J. Goodnow) ค.ศ. 1904
ได้เสนอแนวคิดว่า รัฐศาสตร์คือศาสตร์ซึ่งว่าด้วยองค์กรอันเป็นที่รู้จักกันในนาม “รัฐ”
นิยามของรัฐ
1. กลุ่มคนที่รวมตัวกันเป็นระเบียบและอาศัยในอาณาเขตร่วมกัน
มีอำนาจอธิปไตยสูงสุดในอาณาเขตนั้น ๆ (Harold Lasswell และ Abraham
Caplan)
2.
องค์กรที่มีอำนาจผูกขาดในการใช้กำลังหรือใช้ความรุนแรงทั้งหลาย (Max Weber) เช่น ประกาศสงคราม
3. กลุ่มคนในอาณาเขตใด ๆ รัฐหนึ่ง ๆ
จะมีรูปแบบที่มีคนจำนวนหนึ่งมีอำนาจเหนือกลุ่มคนทั้งหมด
อำนาจนี้อาจมาจากการใช้กำลังหรือใช้วิธีการทางจิตวิทยาก็ได้ (Julius Gould and
William Kolb)
สรุป
1. รัฐเป็นองค์กรทางการเมืองที่มีสภาพต่างจากสังคมธรรมดา
โดยจะเน้นที่มิติทางการเมืองคือจะกล่าวถึงเรื่องอำนาจ อำนาจหน้าที่
มีการกำหนดโครงสร้างของรัฐบาล ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง ฯลฯ
2. องค์กรทางการเมืองที่เรียกว่ารัฐชาติหรือรัฐประชาชาติ (Nation State)
3. มีความหมายเท่ากับมลรัฐ
คือเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐหรือสหรัฐ เช่น
ประเทศสหรัฐอเมริกาประกอบด้วยมลรัฐต่าง ๆ 50 มลรัฐ
องค์ประกอบของรัฐ
1. ประชากร (Population) จะมากหรือน้อยไม่สำคัญ
2. อาณาเขตหรือดินแดน (Territory) ทั้งแผ่นดิน ในทะเล
อากาศ ไหล่ทวีป
3. รัฐบาล (Government) เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐ
ทำหน้าที่ดำเนินกิจการแทนรัฐในนามประชาชน
ในอาณาเขตที่แน่นอนและเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐอื่น
หรือหมายถึงคณะบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายอำนาจให้ทำหน้าที่บริหารประเทศ
4. อำนาจอธิปไตย (Sovereignty) เป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
แบ่งเป็นสามอำนาจคืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
ชาติ (Nation) เป็นศัพท์ทางสังคมวิทยา
หมายถึง
1. กลุ่มประชากรภายในประเทศหนึ่งภายใต้รัฐบาลที่เป็นเอกราช
2. คนกลุ่มหนึ่งที่มีสถาบันและขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายคลึงกัน
มีความกลมเกลียวคือเข้ากันได้ทางสังคมและมีจุดสนใจคล้าย ๆ กัน
3. สังคมซึ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ที่มีวัฒนธรรมและความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน
ใครมาแตะชาติไม่ได้
องค์ประกอบของชาติ
1. มีความผูกพันต่อถิ่นที่อยู่อาศัย
2. มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน
3. มีวัฒนธรรมร่วม
4. ต้องการที่จะเป็นอิสระในการดำเนินชีวิต
มีชาติอาจไม่มีรัฐก็ได้ เช่น
ชนชาติกะเหรี่ยงมีองค์ประกอบความเป็นชาติครบถ้วน แต่ไม่มีรัฐกะเหรี่ยง
แต่ถ้ามีรัฐต้องมีชาติ (ประชากรหลากหลายชนชาติอาศัยอยู่ในรัฐเดียวกัน)
ข้อด้อยของนิยามที่ว่าการเมืองคือเรื่องของรัฐ
(นิยามของแฟรงค์ เจ. กู๊ดนาว)
1.
การบอกว่าการเมืองเป็นเรื่องราวของรัฐเป็นแนวคิดที่ตายตัวเกินไป
มองแค่องค์กรที่มีการจัดตั้งจากอำนาจรัฐ
ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์บางปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเขตแดนรัฐได้ เช่น สงครามปฏิวัติ
จักรวรรดินิยม ว่าปรากฏการณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไร
2. เน้นโครงสร้างที่เป็นทางการเป็นหลัก (องค์กร
สถาบันที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้อำนาจรัฐ) เช่น รัฐบาล รัฐสภา พรรคการเมือง ฯลฯ
โดยไม่ให้ความสำคัญกับกลุ่มอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่เป็นทางการ เช่น
การรวมตัวกันของประชาชนในนามของสมัชชาคนจน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นปช.
การทำกิจกรรมของกลุ่มเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น
2. การเมืองคือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ (Power) และอิทธิพล
ฮาร์โรลด์ ลาสเวลล์ (Lasswell) กล่าวถึงรัฐศาสตร์ในฐานะที่เป็นการศึกษาเชิงประจักษ์ว่าคือการศึกษากระบวนการขัดเกลาและการเข้าไปมีส่วนร่วมในอำนาจนั่นเอง
และให้นิยามว่าการเมืองคือเรื่องของการที่ใคร ได้อะไร เมื่อใด และได้อย่างไร (Politics is
who gets what, when and how)
(การศึกษาเชิงประจักษ์คือการศึกษาที่ใช้ข้อมูลที่เป็นจริง
สามารถวัดได้ แจงนับได้)
ใคร ๆ ก็อยากได้อำนาจเพราะอำนาจทำให้สง่าผ่าเผย
ตอนไม่มีอำนาจต้องพยายามเข้าหาคนทุกชนชั้นทุกหมู่เหล่าเพื่อขอคะแนน
แต่เมื่อได้มาซึ่งอำนาจบุคลิกภาพจะเปลี่ยนไปทันที จากนอบน้อมถ่อมตนกลายเป็นคนมีมาด
และหายหัวไปเลยจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่
บางคนรู้ดีว่าตนไม่มีวาสนาจะได้มีอำนาจขอแค่เป็นวอลเปเปอร์ให้ผู้มีอำนาจก็พอ
ลาสเวลล์และแคพแลน (Lasswell and
Kaplan) กล่าวว่า
อำนาจคือความสามารถที่จะสร้างผลกระทบหรือที่จะควบคุมการตัดสินใจ พฤติกรรม นโยบาย
ค่านิยม หรือโชคชะตาของผู้อื่นได้ ได้ เช่น
โจรเอาปืนมาจี้แล้วบอกให้เรายกมือขึ้นมีอะไรในกระเป๋าส่งมาให้หมด
เราต้องทำตามคำสั่งของโจรแสดงว่าโจรมีอำนาจในการกำกับควบคุมพฤติกรรมของเราให้เป็นไปตามที่โจรปรารถนา
สำหรับคำว่าอำนาจมีคำที่เกี่ยวข้องคือ
-อำนาจหน้าที่ (Authority) คือ อำนาจ + ความชอบธรรม
(Power + Legitimacy) อันหมายถึงการที่ประชาชนให้การยอมรับ
เชื่อฟัง ยอมปฏิบัติตามคำสั่งโดยถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องควรกระทำ
กรณีโจรจี้เรายอมทำตามเพราะโจรมีอำนาจเหนือเราในช่วงเวลานั้น
แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำให้เราต้องเสียทรัพย์มากกว่าที่ต้องเสียให้โจรด้วยซ้ำไปโดยที่เขาไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเลย
คนกลุ่มนี้คือเจ้าหน้าที่สรรพากร
แม้เราไม่อยากให้ก็ต้องให้ด้วยรู้ว่าสรรพากรมีหน้าที่ตามกฎหมาย
และเราผู้เป็นราษฎรก็มีหน้าที่เสียภาษี ความแตกต่างระหว่างสรรพากรกับโจรอยู่ที่ Legitimacy โจรมีแค่ Power แต่เจ้าหน้าที่สรรพากรมี Authority
(Power + Legitimacy) มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะเก็บภาษีจากประชาชน
และประชาชนเองยอมรับเชื่อฟังปฏิบัติตามสรรพากร
แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน
กล่าวถึงที่มาของความชอบธรรมดังนี้
1) ประเพณี (Tradition)
เป็นความชอบธรรมที่มักเกิดขึ้นในสังคมแบบดั้งเดิม เช่น สังคมชนเผ่า
ลูกเผ่าเชื่อฟังหัวหน้าเผ่าเพราะหัวหน้าเผ่าขึ้นสู่ตำแหน่งตามธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมาของเผ่า
เช่น หัวหน้าเผ่าผู้ชราส่งมอบตำแหน่งให้ทายาทมีพ่อมดหมอผีมาทำพิธี
ก่อกองไฟกันสักกองหนึ่ง หมอผีร่ายเวทมนต์เชิญเทพยดาฟ้าดินมาเป็นพยานแล้วเอามงกุฎหรือคฑามอบให้ลูกชาย
เป็นสัญลักษณ์ว่านี่คือผู้นำคนใหม่คำพูดของผู้นำคือกฎหมาย
ที่สมาชิกในเผ่าต้องเคารพเชื่อฟัง
2) บารมี (Charisma) มักเกิดในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงหรือช่วงของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอกราช
จะเกิดผู้นำที่มิใช่ทายาทของผู้นำเก่า
เป็นคนมีบารมีคือมีลักษณะพิเศษที่ทำให้คนในสังคมยอมเชื่อฟังปฏิบัติตาม เช่น มหาตมะ
คานธี เป็นคนแก่ตัวผอมถือไม้เท้าเดินยักแย่ยักยัน
เมื่อเกิดสงครามศาสนาระหว่างคนฮินดูกับคนมุสลิมคานธีประกาศอดอาหารจนกว่าคนทั้งสองศาสนาจะหยุดรบกัน
ทั้งสองฝ่ายเกรงว่าคานธีจะเสียชีวิตก็หยุดรบกันจริง ๆ ผู้นำบารมีคนอื่น ๆ เช่น
เหมาเจ๋อตุง โฮจิมินห์ ซูกาโน
3) กฎหมายหรือตรรกะนิตินัย (Legal) เช่น
เราปฏิบัติตามคำสั่งของ เจ้าหน้าที่สรรพากร เพราะคนเหล่านี้มีอำนาจตามกฎหมาย
(กติกาที่สังคมใดสังคมหนึ่งตราขึ้นมาบังคับใช้ เพื่อควบคุมพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนของคนในสังคมให้เป็นไปตามแนวทางที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่สังคมโดยรวม)
กฎหมายเป็นที่มาของความชอบธรรมสมาชิกต่างให้การเกื้อหนุน ยอมรับ
และปฏิบัติตามคำสั่ง
-อิทธิพล (Influence) เป็นคำที่ถูกตีความไปในแง่ลบ
ทั้ง ๆ ที่ความหมายจริง ๆ แล้วหมายถึง
ความสามารถในการโน้มน้าวให้บุคคลยอมรับหรือกระทำการใด ๆ
แม้ว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะกระทำก็ตาม เช่น พ่อแม่มีอิทธิพลต่อลูก
ลูกต้องเรียนอย่างที่พ่อแม่ต้องการ ครูบาอาจารย์มีอิทธิพลต่อลูกศิษย์ เช่น
สมัยเด็ก ๆ อาจารย์เรียนภาษาอังกฤษเก่ง ครูสอนภาษาอังกฤษเลยแนะนำว่าควรเรียนรัฐศาสตร์เผื่ออนาคตจะได้เป็นนักการทูต
อิทธิพลเกี่ยวข้องกับการเมืองคือ
นักการเมืองส่วนใหญ่ใช้อิทธิพลเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือแก่ตน
ว่าตนเองมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าไปนั่งในตำแหน่งแห่งอำนาจ
ในช่วงหาเสียงหรือฤดูนับญาตินักการเมืองพยายามโน้มน้าวให้ประชาชนเลือกตนเข้าไปนั่งในสภา
และต้องใช้ตัวช่วย เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครูใหญ่ เจ้าอาวาส
เพื่อให้คนเหล่านี้โน้มน้าวให้ชาวบ้านมาเลือกผู้สมัครเบอร์นั้นเบอร์นี้ ถ้ากำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าอาวาส หรือครูใหญ่ สามารถโน้มน้าวให้ชาวบ้านเลือกผู้สมัครของตนได้มากที่สุดโดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด
คน ๆ นั้นก็ถือว่ามีอิทธิพลมาก
อาจารย์ลองถามนักศึกษาดูว่าใครมีอิทธิพลมากที่สุดแถวอีสาน
นักศึกษาตอบว่าเนวิน
แต่อาจารย์คิดว่าหลวงพ่อคูณเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในจังหวัดนครราชสีมาและแถบภาคอีสาน
ใช้ทรัพยากรเพียงเล็กน้อยแค่นำหนังสือพิมพ์เก่า ๆ
มาม้วนแล้วเคาะหัวประชาชนพร้อมพูดว่า “เลือกเบอร์ 1 เด้อ เลือกเบอร์ 1 เด้อ” คนก็เลือกเบอร์
1 กันหมด
นี่คือการใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดไม่ต้องมีเงินเป็นหมื่นล้านไม่ต้องโฟนอินแต่ได้ผลมากที่สุด
มีอำนาจในการโน้มน้าวสูงชี้ให้เห็นว่าท่านมีอิทธิพลมาก
นักศึกษาอย่าคิดว่าอิทธิพลคือการใช้อำนาจมืด ใช้กำลังซ่องสุม
แต่เป็นเรื่องของความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้อื่น
การเมืองไทยมีเรื่องของอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา
3. การเมืองเป็นเรื่องการใช้อำนาจในการแจกแจงแบ่งสรรสิ่งที่มีคุณค่าของสังคม
เดวิด อีสตัน (David Easton) มองว่า
การเมืองเป็นเรื่องของการใช้อำนาจอันชอบธรรมในการแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าของสังคม
โดยที่ผลที่ออกมาจากการตัดสินใจจะผูกมัดกับทุกคนในสังคม เช่น
พรรคการเมืองเสนอนโยบายเพื่อหวังจะสร้างการกินดีอยู่ดี นำงบประมาณ กำลังคนภาครัฐ
และเครื่องไม้เครื่องมือที่มีมาบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน
สรุป เราจะเข้าใจการเมืองได้ดีก็ต่อเมื่อเรามองการเมืองจากสามมุมองหลักดังต่อไปนี้
มุมมองแรก เราอาจจะเข้าใจการเมืองได้จากประโยคที่เชื่อว่าเป็นกิจกรรมที่เป็นการเมืองโดยธรรมชาติ
ได้แก่
1. การเมืองเป็นเรื่องของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบันและการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล
สถาบันสำคัญทางการเมือง เช่น พรรคการเมือง รัฐสภา รัฐบาล พฤติกรรมต่าง ๆ
ของสมาชิกสถาบันเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการประชุมสภา
การประชุม ครม. และอื่น ๆ
2. การเมืองเป็นเรื่องของการแจกแจงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
งบประมาณแต่ละปีมีอยู่อย่างจำกัด ทำอย่างไรจึงจะนำงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้นมาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้
3. การเมืองเป็นปฏิกิริยาของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ
การเมืองเป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
มุมมองที่ 2 มองการเมืองจากคำถามคำตอบที่ควรตั้งเพื่อที่จะเข้าใจการเมือง
ได้แก่
1. ทำไมกลุ่ม/องค์กร พรรคการเมืองใด ๆ
สามารถดำรงอยู่ได้ท่ามกลางอุปสรรคและกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น
พรรคประชาธิปัตย์ สามารถดำเนินงานทางการเมืองอย่างต่อเนื่องได้หกสิบกว่าปี
ทำไมบางพรรคอยู่ไม่นานก็หายไป คำตอบก็เป็นเรื่องของการเมืองนั่นเอง
2. ทำไมคนบางคนบางกลุ่มจึงสามารถขึ้นสู่อำนาจและรักษาอำนาจเอาไว้ได้
ในขณะที่บางคนไม่สามารถรักษาอำนาจไว้ได้ในเวลาอันสมควรอยู่ได้แค่ในระยะสั้น ๆ
เท่านั้น แถมบางคนไม่สามารถขึ้นสู่อำนาจได้เลยไม่ว่าจะพยายามมากี่ครั้งแล้วก็ตาม
คำตอบเป็นเรื่องของการเมือง
3. สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในแบบใดที่นำไปสู่การปกครองในรูปแบบที่แตกต่างกัน
เช่น ประเทศที่ใช้อุดมการณ์สังคมนิยมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
รัฐเข้าไปกำกับควบคุมปัจจัยการผลิตของสังคมนำไปสู่การแจกแจงแบ่งสรรทรัพยากรบนพื้นฐานของความเป็นธรรมเน้นความกินดีอยู่ดีของสังคมโดยรวม
(Well-being)
เพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้นให้แคบลงโดยใช้นโยบายรัฐสวัสดิการ (Welfare
State) เช่น เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี เรียนจบแล้วมีงานทำ
ตกงานรัฐมีเงินช่วยเหลือให้ ระหว่างนั้นรัฐก็ต้องหางานใหม่ให้ด้วย
ถ้าไม่มีความรู้ในงานใหม่แต่เป็นงานที่อยากทำ รัฐก็จะจัดโครงการต้นกล้าอาชีพให้
นำมาอบรมจนทำงานเป็นแล้วให้ทำงาน สังคมแบบนี้มักมีรูปแบบการปกครองเป็นเผด็จการ (Dictatorship) รัฐต้องมีอำนาจมากในการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามอุดมการณ์สังคมนิยม
ในทางตรงข้ามสังคมที่ยึดมั่นอุดมการณ์เศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่ให้เสรีภาพในการประกอบการบนพื้นฐานความเชื่อว่า
คนเราเกิดมามีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน
ใครมีความสามารถมากกว่ามีสิทธิที่จะใช้สิ่งที่ตนเองมีดำเนินการเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง
ลัทธิทางเศรษฐกิจแบบนี้มักเอื้อต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ลัทธิเศรษฐกิจแบบหนึ่งจะเอื้อต่อรูปแบบการเมืองการปกครองแบบหนึ่ง
มุมมองที่สาม จะมองการเมืองจากกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่สำคัญๆ
ได้แก่
1. การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง
อาจเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่าง ๆ หรือ
ความขัดแย้งระหว่างผู้นำทางการเมืองด้วยกัน
2. การเมืองเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ
3. การเมืองเป็นเรื่องของกิจกรรมของผู้นำ
4. การเมืองเป็นเรื่องของการตัดสินใจของผู้มีอำนาจหน้าที่ทางการเมือง
คำตอบเกี่ยวกับการเมืองมีหลายคำตอบขึ้นอยู่กับมุมมองของนักวิชาการแต่ละคนว่าจะเน้นศึกษาการเมืองในแง่ใด
แต่ละมุมมองทำให้นักวิชาการกำหนดยุทธวิธีในการศึกษาทำความเข้าใจการเมืองแตกต่างกัน
ยุทธวิธีในการศึกษาการเมืองหรือ Approach จึงมีอยู่มากมาย
โดยแต่ละ Approach มีพื้นฐานความเชื่อว่าการเมืองคืออะไรแตกต่างกันไป
เช่น
-Power Approach มองว่า
การเมืองคือการต่อสู้เพื่ออำนาจ
-Interest Group Approach มองว่า
การเมืองเป็นความขัดแย้งในผลประโยชน์
-System Approach มองว่า
การเมืองเป็นเรื่องของการใช้อำนาจอันชอบธรรมในการแจกแจงแบ่งสรรทรัพยากรและสิ่งมีคุณค่าในสังคม
ผลที่ได้จาการตัดสินใจของผู้มีอำนาจจะบังคับใช้กับคนทุกคน
-Elite Approach มองว่า
การเมืองเป็นกิจกรรมของชนชั้นนำ
-Decision Making Approach มองว่า
การเมืองเป็นการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ
เห็นได้ว่าแต่ละ Approach มองการเมืองในมุมมองที่แตกต่างกันไป
เพราะนักวิชาการแต่ละคนพยายามสร้างเครื่องมือในการทำความเข้าใจการเมืองจากมุมมองของตนเอง
ทำให้มี Approach มากมายในการศึกษา
(อาจารย์เคยออกข้อสอบว่า
จากมุมมองการเมืองที่แตกต่างกันไปยังผลให้เกิด Approach ต่าง ๆ ตามมามากมาย จงยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน)
พื้นฐานความเชื่อร่วมกันของคำว่าการเมือง
นักวิชาการแต่ละคนอาจจะมองการเมืองแตกต่างกัน
แต่นักวิชาการเหล่านี้มีพื้นฐานความเชื่อเกี่ยวกับการเมืองร่วมกันคือ
1. ทุกสังคมมีปัญหาหลักเหมือนกันคือการขาดแคลนทรัพยากร
อุปสงค์ (Demand) จะมีมากกว่าอุปทาน (Supply) อยู่ตลอดเวลา งบประมาณ กำลังคน
เครื่องไม้เครื่องมือของรัฐมีอยู่อย่างจำกัด
แต่ความต้องการของประชาชนมีมากมายเกินกว่าที่งบประมาณของรัฐจะสนองได้
2. ความจำเป็นที่ต้องมีรัฐบาล
เมื่อทรัพยากรมีน้อยความต้องการมีมากเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดความโกลาหลในสังคมอันเนื่องมาจากกลุ่มคนที่แข็งแรงกว่าเข้ามาแก่งแย่งทรัพยากรของสังคมเพื่อเอาประโยชน์ให้แก่กลุ่มของตน
ทุกสังคมจึงจำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรขึ้นมาทำหน้าที่แจกแจงแบ่งสรรทรัพยากรของสังคมคือรัฐบาล
รัฐบาลจะทำหน้าที่แจกแจงทรัพยากรบนพื้นฐานการยอมรับของสมาชิกในสังคม
3. ในกระบวนการของการแจกแจงทรัพยากรของรัฐจะมีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์เพราะงบประมาณมีจำกัด
4. ในทุกสังคมคนที่ได้ประโยชน์ (Haves อ่านว่าแฮฟส์ ไม่ใช่ฮาเวส) เป็นคนจำนวนไม่มาก กลุ่มที่เสียประโยชน์ (Have
- nots) มีจำนวนมากกว่าและมองว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม
5.
กลุ่มที่เสียประโยชน์พยายามรวมตัวกันเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง
รุกเร้าขอให้รัฐดำเนินการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มตนเองบ้าง อาจดำเนินการตามกฎหมาย
สันติวิธี หรือใช้กำลังรุนแรง
6. ในขณะเดียวกันกลุ่มที่ได้ประโยชน์อยู่แล้วก็พยายามต่อต้านกลุ่มที่เรียกร้องโดยอ้างว่ารัฐบาลทำดีอยู่แล้ว
7. กลุ่มที่ได้ประโยชน์อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบอยู่แล้วมีโอกาสเหนือกลุ่มอื่น
ๆ จะใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อรักษาสถานภาพที่ได้เปรียบของตนเองเอาไว้
โดยส่วนใหญ่กลุ่ม Haves จะเป็นผู้ปกครอง ชนชั้นสูง
นายทุนซึ่งได้ประโยชน์จากการดำเนินการของรัฐ
ออกกฎเกณฑ์กติกาป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาแย่งชิงผลประโยชน์ของตน เช่น
สร้างความเชื่อว่าที่ประชาชนเกิดมาอดอยากยากแค้นเพราะชาติที่แล้วทำกรรมไว้มาก
ผู้ปกครองที่มีอำนาจวาสนาบารมีเพราะชาติที่แล้วทำบุญ
เพราะฉะนั้นคนจนก็ควรก้มหน้ารับกรรมแล้วทำสมาธิอย่าไปคิดอะไรให้มาก
สรุป การเมืองจึงเป็นเรื่องของปฏิกริยาระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง
และเป็นการแก่งแย่งสิทธิที่จะมีอำนาจในการปกครองระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเองอีกด้วย
การรัฐประหารก็คือการแย่งอำนาจระหว่างผู้ปกครองด้วยกันนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น