ปฏิวัติ (revoluton)
หมายถึง การเปลี่ยนรูปแบบหรือระบอบการปกครองประเทศ จากรูปแบบหนึ่ง ไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง อย่างสิ้นเชิง เช่น การปฏิวัติฝรั่งเศส (เปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ)หรือ ในประเทศไทย ก็คือสมัย ร๗ ที่เปลี่ยนจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ)
ส่วน รัฐประหาร(coup de ta)
หมายถึง การใช้กำลัง เพื่อเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาล โดยระบอบการปกครองยังคงเดิม เช่น การรัฐประหารสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม หรือ สมัย พลเอก ชาติชาย ชุณหวัณ ซึ่งจะเห็นว่า เปลี่ยนแปลงเฉพาะคณะรัฐบาลเท่านั้น โดยที่ประเทศไทยยังคงระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์
เป็นประมุขเช่นเดิม
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
การปฎิวัตและรัฐประหาร
ปฏิวัติ หรือ การปฏิวัติ หมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากระบบเดิม
ยกเลิกระบบเดิม ใช้ระบบใหม่ หรือ การรื้อโครงสร้างเดิมเป็นส่วนใหญ่
หรือจะใช้เป็นคำที่อธิบายว่ามีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เช่น ปฏิวัติตนเอง
คือปรับปรุงตัวเองใหม่ จากหน้ามือเป็นหลังมือเป็นต้น
คำว่าปฎิวัติในภาษาอังกฤษ มีรากศัพท์จากภาษาละตินคือ revolutio และ revolvere แปลว่าการหมุนรอบ หรือแปลได้อีกทางหนึ่งว่าการพลิกฟ้าควำ่แผ่นดิน (to turn around) คำนี้มีใช้ทั่วไปในทางสังคมศาสตร์ แต่ก็มีใช้ในทางวิทยาศาสตร์เช่นกันเช่นการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
คำว่าปฎิวัติในภาษาอังกฤษ มีรากศัพท์จากภาษาละตินคือ revolutio และ revolvere แปลว่าการหมุนรอบ หรือแปลได้อีกทางหนึ่งว่าการพลิกฟ้าควำ่แผ่นดิน (to turn around) คำนี้มีใช้ทั่วไปในทางสังคมศาสตร์ แต่ก็มีใช้ในทางวิทยาศาสตร์เช่นกันเช่นการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
สารานุกรมเมอร์เรียม-เวบสเตอร์ (Merriam-Webster
Encyclopedia) อธิบายว่า
การปฏิวัติในทางการเมืองนั้นคือการเปลี่ยนแปลงการตัดรูปแบบของการเมืองการปกครองในระดับฐานราก
(fundamentally) สารานุกรมบริทานิกา คอนไซส์ (Briyanica
Concise Encyclopedia) อธิบายว่าการปฏิวัติในทางสังคมศาสตร์
และในทางการเมืองคือการกระทำความรุนแรงต่อโครงสร้าง, ระบบ,
สถาบัน ฯลฯ ทางสังคมการเมือง
การปฏิวัติทางสังคมการเมืองจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากมาตรฐานต่างๆที่สังคมการเมืองเป็นอยู่เดิม
เพิ่มจัดตั้ง หรือสถานามาตรฐานของสังคมการเมืองแบบใหม่ให้เกิดขึ้น
โดยสรุปการปฏิวัติมีความหมายว่าการเปลี่ยนแปลงระบอบ (regime) ในทางสังคมการเมืองอาทิ วัฒนธรรมทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง เป็นต้น การปฏิวัติจึงไม่ต่างจากการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางการเมือง (political paradigm) ซึ่งเกิดได้ยากกว่าการรัฐประหาร ซึ่งเพียงการเปลี่ยนแปลงระบบทางการเมือง (political system) อาทิ ผู้นำของรัฐ (head of state) หรือรัฐบาล (government) เท่านั้น[4]
อนึ่งการปฏิวัติทางการเมืองเป็นมโนทัศน์ที่สำคัญในการอธิบายการปฏิวัติสังคมในลัทธิทรอทสกี้ (Trotkyism)
รัฐประหาร หรือ การรัฐประหาร (ฝรั่งเศส: coup
d’état กูเดตา) ในวิชาการพัฒนาการเมืองซึ่งเป็นสาขาวิชาทางรัฐศาสตร์ จะถือว่าการรัฐประหารไม่ใช่วิธีทางของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และถือเป็นความเสื่อมทางการเมือง (political decay) แบบหนึ่ง
รัฐประหาร หมายถึงการล้มล้างรัฐบาลที่บริหารปกครองรัฐในขณะนั้น
แต่มิใช่การล้มล้างระบอบการปกครองหรือรัฐทั้งรัฐ
และมิจำเป็นต้องมีการใช้ความรุนแรงหรือนองเลือดเสมอไป
เช่นหากกลุ่มทหารอ้างว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งบริหารประเทศชาติผิดพลาด
และจำเป็นต้องบังคับให้รัฐบาลพ้นจากอำนาจ จึงใช้กำลังบังคับให้ออกจากตำแหน่งและประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
หรือประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ทันที เยี่ยงนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการก่อรัฐประหาร
ความพยายามในการก่อรัฐประหารที่ไม่ประสบความสำเร็จมักถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ
ความพยายามในการก่อรัฐประหารที่ไม่ประสบความสำเร็จมักถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ
คำว่า รัฐประหาร มาจากคำภาษาฝรั่งเศส คือ coup d’état ซึ่งหากแยกพิจารณาจากการสนธิคำจะแปลตรงตัว่าว่า
การล้มล้างอย่างเฉียบพลัน (coup = blow of) ต่อรัฐ
(d’état = on state)
ในพจนานุกรมบริทานิกา คอนไซส์ (Britannica Concise Encyclopedia) นิยามว่า
คือ การยุบเลิกรัฐโดยฉับพลัน (stroke of state) การเข้ามาเถลิงอำนาจโดยเฉียบพลัน
มักจะเกิดด้วยความรุนแรง การรกระทำดังกล่าวกระทำการโดยกลุ่มก่อการ
(a group of conspirators) การรัฐประหารจะเกิดในประเทศที่มีเสถียรภาพทางการเมืองต่ำ
หรือไม่ก็ไร้เสถียรภาพทางการเมือง
ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยการรัฐประหารมักไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนพจนานุกรรมศัพท์ทางการทหารของออกซ์ฟอร์ด (Oxford Companion to
Military History) อธิบายว่าความพยายามในการเปลี่ยนแปลกคณะปกครอง
หรือรัฐบาลด้วยกำลัง โดยมากมักเกิดจากกองทัพ พจานุกรมศัพท์ทางทหารอเมริกันของออกซ์ฟอร์ด
(Oxford Dictionary of the US Military) นิยามว่า
คือการเข้ามาเถลิงอำนาจในรัฐบาลอย่างรวดเร็ว รุนแรง และผิดกฎหมาย พจนานุกรมศัพท์ทางการเมืองของออกซ์ฟอร์ด (Oxford Dictionary of
Politics) การยุบเลิกรัฐบาลอย่างกระทันหันด้วยกำลังที่ผิดกฎหมาย
มักกระทำการโดยกองทัพ หรือส่วนหนึ่งของกองทัพ
รัฐประหารมักเกิดขึ้นโดยความไม่เห็นชอบของประชาชน
หรือไม่ก็มักเป็นความจากประชาชนบางส่วน ซึ่งมักเป็นชนชั้นกลาง
หรือไม่ก็ด้วยความร่วมมือของพรรคการเมือง หรือกลุ่มทางการเมือง
โดยสรุปการรัฐประหารคือการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองรัฐ
(head of state) หรือรัฐบาล (government) โดยเฉียบพลันด้วยกำลัง
ความรุนแรง และผิดกฎหมาย โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง (regime)
รัฐประหารในประเทศไทย
คณะรัฐประหารในประเทศไทยที่ก่อการสำเร็จมักจะเรียกตนเองหลังก่อการว่า “คณะปฏิรูป” หรือ “คณะปฏิวัติ” เพื่อให้มีความหมายไปในเชิงบวก อย่างไรก็ตามมีผู้เสนอว่าการ “ปฏิวัติ” หรือ “อภิวัฒน์” (revolution) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงครั้งเดียวคือเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
คณะรัฐประหารในประเทศไทยที่ก่อการสำเร็จมักจะเรียกตนเองหลังก่อการว่า “คณะปฏิรูป” หรือ “คณะปฏิวัติ” เพื่อให้มีความหมายไปในเชิงบวก อย่างไรก็ตามมีผู้เสนอว่าการ “ปฏิวัติ” หรือ “อภิวัฒน์” (revolution) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองนั้นเกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงครั้งเดียวคือเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
ผู้ที่ก่อการรัฐประหารได้สำเร็จในประเทศไทยมาจากฝ่ายทหารบกทั้งสิ้น ส่วนทหารเรือได้มีความพยายามในการก่อรัฐประหารแล้วแต่ไม่สำเร็จเป็นกรณีกบฏวังหลวง ใน พ.ศ. 2492 และ กบฎแมนฮัตตันใน พ.ศ. 2494 หลังจากนั้นทหารเรือก็เสียอำนาจในแวดวงการเมืองไทยไป
1.
รัฐประหาร 1 เมษายน พ.ศ. 2476 พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร พร้อมงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา
2.
รัฐประหาร 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 นำโดยพลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ยึดอำนาจรัฐบาล พระยามโนปกรณ์นิติธาดา
3.
รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 นำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์
ธำรงนาวาสวัสดิ์
4.
รัฐประหาร 6 เมษายน พ.ศ. 2491 คณะนายทหารกลุ่มที่ทำการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 จี้บังคับให้ นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบตำแหน่งต่อให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม
5.
รัฐประหาร 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2494 นำโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
6.
รัฐประหาร 16 กันยายน พ.ศ. 2500 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม
7.
รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจรัฐบาล จอมพลถนอม กิตติขจร (ตามที่ตกลงกันไว้)
8.
รัฐประหาร 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2514 นำโดย จอมพลถนอม กิตติขจร ยึดอำนาจรัฐบาลตนเอง
9.
รัฐประหาร 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์
ปราโมช
10.
รัฐประหาร 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 นำโดย พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจรัฐบาล นายธานินทร์
กรัยวิเชียร
11.
รัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 นำโดย พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย
ชุณหะวัณ
12.
รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ. 2549 นำโดย พล.อ.สนธิ
บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในขณะนั้น พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี
ได้เดินทางไปต่างประเทศ
วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
การรีเอ็นจิเนียริ่ง
รีเอ็นจีเนียริ่ง คือ การรื้อปรับระบบ
ซึ่งมีหลายความหมายดังต่อไปนี้
- การเริ่มต้นกันใหม่โดยไม่ยึดติดกับสิ่งที่เกิดขึ้นมา
จากอดีตจนถึงปัจจุบัน หรือไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย
แต่เป็นกระบวนการที่ทำมายาวนาน เพื่อที่จะสร้างสินค้าหรือบริการที่ให้คุณค่าแก่ผู้บริโภค
- การพิจารณาหลักการพื้นฐานอีกครั้งหนึ่งและการออกแบบกระบวนการทางธุรกิจอีกครั้งเพื่อก่อให้เกิดการปรับปรุงที่ยิ่งใหญ่อย่าเห็นเด่นชัด
การรีเอ็นจีเนียริ่ง
คือ รูปแบบการนำกระบวนการจัดการใหม่มาแทนกระบวนการที่ใช้อยู่เดิมอย่างถอนรากถอนโคนหรือเรียกว่า
คือการประดิษฐ์ค้นคิดหากระบวนการดำเนินกิจการขึ้นมาใหม่
หลักการของรีเอ็นจิเนียริ่งจึงต้องยึดอยู่กับการสนองต่อกลยุทธ์หลักขององค์การธุรกิจนั้นทั้งในด้านการตลาด
การผลิต การบริการและอื่นๆ
จากความหมายดังกล่าวจะเห็นว่า
การรีเอ็นจิเนียริ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำทั้งองค์การและดำเนินการทุกด้านทั้งด้านการตลาด
การผลิต การบุคลากร การบริการ และกับทุกระบบ
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความสำเร็จในการทำรีเอ็นจิเนียริ่ง
มีดังนี้
1.ใช้กลยุทธ์เป็นตัวนำ ต้องพิจารณาว่าธุรกิจของเราเป็นธุรกิจอะไรแบบไหนในอนาคต และพยายามมองหาวิธีการที่จะสร้างผลกำไรจากธุรกิจนี้
2.ต้องอาศัยการเริ่มและบังคับบัญชาโดยผู้บริหารระดับสูง การรีเอ็นจิเนียริ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานหลายหน่วยงาน ดังนั้นผู้บริหารที่มีอำนาจเพียงพอเท่านั้นจึงสามารถดูแลตรวจสอบกระบวนการตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ และทำหน้าที่เป็นผู้เชื่อมโยงรอยต่อระหว่างหน่วยงาน
3.สร้างบรรยากาศของความเร่งด่วน ผู้บริหารจะต้องสร้างบรรยากาศให้งานต่างๆมีความเร่งด่วน ผลักดันงานให้มีความต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง และสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับผู้ปฏบัติงานในหน่วยงานนั้นๆ
4.การออกแบบและกระบวนการจากภายนอก การที่องค์การจะหาความต้องการของลูกค้าได้นั้นจะต้องใช้วิธีการสำรวจวิจัยหลายรูปแบบ นอกจากนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานนักกับการศึกษาขั้นตอนต่างๆของงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ทิ้งระบบเก่าโดยเร็ว ระบบอาจนำมาพิจารณาจุดที่สำคัญของงานได้บ้างในบางขั้นตอน
5.การดำเนินการกับที่ปรึกษา ผู้บริหารควรจะเข้ามาร่วมงานตั้งแต่ต้นจนจบ คือ เริ่มตั้งแต่การออกแบบงาน การนำแผนไปปฏิบัติ และให้การอบรมแก่ผู้เชี่ยวชาญภายในองค์การ เพื่อถ่ายทอดหลักการเหล่านั้นไปยังระดับล่าง
6.ทำการผนวกกิจกรรมของระดับบนลงสู่ระดับล่าง การรีเอ็นจิเนียริ่ง ไม่สามารถเริ่มต้นได้จากระดับล่าง เพราะอาจจะมีการขัดขวางจากกลุ่มคนหรือหน่วยงานภายในองค์การแต่การบริหารจากระดับบนสู่ระดับล่าง หรือจากระดับล่างขึ้นสู่ระดับบนนั้นไม่ได้มีวามขัดแย้งกันโดยแท้จริงแล้ว การรีเอ็นจิเนียริ่งให้ดีนั้น ต้องอาศัยสภาพแวดล้อม และบรรยากาศของการปรับปรุงงานอย่างต่อเนื่องของระบบ TQM การตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องของการบริหารจากระดับบนลงสู่ระดับล่า ขณะเดียวกันวิธีการทำงานเป็นเรื่องของการบริหารจากระดับล่างสู่ระดับบน
ปฏิรูปการเมือง
คำว่า ปฏิรูปการเมือง หมายถึง การผ่าตัดปรับเปลี่ยนโครงสร้างการจัดองค์กรทางการเมือง (และเศรษฐกิจส้งคม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง) เพื่อทำให้การพัฒนาทางการเมืองมีความเป็นประชาธิปไตยชนิดที่ประชาชนสามารถเข้าไปมีบทบาทได้มากขึ้น เป็นธรรม มีประสิทธิภาพ มีวุฒิภาวะในการที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆได้อย่างสันติวิธี การปฏิรูปการเมืองมีเป้าหมายที่จะทำให้โครงสร้างการจัดองค์กรทางการเมืองแบบใหม่ สามารถมีบทบาทในการพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ในระยะยาวได้มากกว่าที่แล้วมา ซึ่งเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยในระยะสั้นเท่านั้น
คำว่า “การเมือง” ควรเข้าใจในความหมายกว้างว่า หมายถึง การที่สมาชิกในสังคมต่อรองและตกลงกันในการหาวิธีการจัดการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เพื่อให้สมาชิกในสังคมได้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข ดังนั้น เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ฯลฯ จึงเป็นเรื่องการเมืองในความหมายกว้างนี้ทั้งสิ้น การเมืองไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งผู้แทนระดับต่างๆเท่านั้น
แต่คำว่า ปฏิรูปการเมือง ในทัศนะของนักการเมือง (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) หลายคนมักจะเข้าใจ หรือตั้งใจจะหมายความแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา เพื่อปรับปรุงระบบการเลือกตั้งให้มีการแข่งขันกันซื้อเสียงน้อยลง และเป็นประโยชน์แก่พวกเขาในแง่ที่ว่าพวกเขาจะได้ไม่ต้องใช้เงิน ใช้ทองมากเกินไป และหรือจะได้ไม่ต้องพึ่งพา เป็นหนี้บุญคุณ ต้องเอาใจนักธุรกิจ นายทุนที่สนับสนุนพวกเขามากเกินไป
การแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปทางการเมืองในความหมายกว้างได้ แต่ไม่ได้แปลว่า เมื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จแล้ว ก็ถือว่าการปฏิรูปการเมืองจบแล้ว เพราะการร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น คงจะทำได้ในขอบเขตจำกัด ต้องมีการประนีประนอม ประสานประโยชน์ในหมู่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญและสภาผู้แทนราษฎรกันมาก รัฐธรรมนูญจึงคงจะออกมาอย่างที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิกต้องการ คือ แก้ไขในบางประเด็น แต่ไม่ได้ต่างไปจากเดิมมากนัก คือ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคนอย่างที่ประชาชนผู้มีการศึกษา มีความรู้ต้องการ
นอกจากนี้แล้ว เราต้องไม่ลืมรัฐธรรมนูญเป็นแค่ตัวบทกฎหมายที่คนที่มีอำนาจ (ทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจ) มีความรู้ มีการจัดตั้งองค์กรที่ดี สามารถใช้เป็นเครื่องมือให้เป็นประโยชน์แก่พวกตนได้มากกว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่มีอำนาจ ความรู้ การจัดตั้งองค์กรน้อยกว่า ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้โรคทุกอย่างได้ การปฏิรูปการเมืองที่แท้จริงจะต้องมุ่งปฏิรูปที่โครงสร้างทางอำนาจ โครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรมด้วย
สังคมไทยปัจจุบัน ต้องการการปฏิรูปการเมืองก็เพราะระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในปัจจุบันของไทย มีข้อบกพร่องเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยากจน การศึกษาและการรับรู้ข่าวสารต่ำ จึงมักนิยมเลือกคนที่เป็นผู้อุปถัมภ์ มีบุญคุณ คนรวยที่มีอำนาจบารมี คนที่พูดเก่ง หาเสียงเก่งเข้าไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้าไปเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยหวังจะได้พวกเขาเป็นที่พึ่ง เพื่อแก้ปัญหาส่วนตัว หรือแก้ปัญหาในท้องถิ่นมากกว่ามุ่งเลือกคนที่ไปทำหน้าที่ออกกฏหมาย และบริหารประเทศ โดยที่เมื่อพวกนักหาเสียงเลือกตั้งเก่งเหล่านี้ได้รับเลือกเข้าไปแล้ว ประชาชนก็ไม่มีสิทธิในการควบคุมดูแลถอดถอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริงได้ ไม่มีสิทธิในการควบคุมดูแลตรวจสอบราชการบริหารประเทศอย่างซื้อสัตย์ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ได้ เพราะทั้งรัฐธรรมนูญ ตัวบทกฏหมาย โครงสร้างทางการเมือง การบริหารราชการไม่เปิดช่องให้ และประชาชนก็มีอำนาจต่อรองทางการเมืองน้อยกว่าพวกนักการเมืองและข้าราชการมากมายหลายเท่า
ระบบการเมืองและการบริหารปัจจุบันเป็นระบบที่มีข้อบกพร่องที่สร้างปัญหาความ ขัดแย้งและทำลายตัวเองในระยะยาว ระบบนี้ส่งเสริมให้การพัฒนาการเมืองและเศรษฐกิจผูกขาดอยู่ในมือคนกลุ่มน้อยท ี่ทำเพื่อประโยชน์ตัวเองและพรรคพวกมากกว่าประชาชนส่วนใหญ่และเป็นกลุ่มคนที่ เล่นพรรคเล่นพวก ขาดความรู้ความสามารถ ขาดการมองการณ์ไกลในการบริหารประเทศ ทำให้การกระจายทรัพย์สินและรายได้มีความไม่เป็นธรรมมากขึ้น การพัฒนาเป็นไปอย่างไม่สมดุล ธรรมชาติแวดล้อมถูกทำลาย เกิดปัญหาทางสังคมมากขึ้น
แม้ในบางช่วงพวกเขาจะทำให้เศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศเจริญเติบโตในอัตราสูงได้ แต่เป็นการเติบโตแบบฟองสบู่ที่เกิดจากการลงทุนของต่างชาติ การส่งออกสินค้าที่ใช้ทุน วัตถุดิบจากต่างประเทศมากๆ การเก็งกำไรที่ดิน หุ้น การเติบโตของสินค้า และบริการที่ฟุ่มเฟือย แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับยิ่งเผชิญปัญหาค่าครองชีพสูง มีงานที่ให้ผลตอบแทนต่ำและไม่มั่นคงมีปัญหาด้านสุขภาพ (กายและใจ) และสภาพแวดล้อมเป็นพิษ ปัญหาอาชญากรรม ความเสื่อมโทรมทางสังคม ฯลฯ เพิ่มมากขึ้น ชนิดที่กำลังกลายเป็นวิกฤติการณ์ของสังคมไทยมากขึ้นทุกขณะและอาจจะนำไปสู่หายนะ ความล่มจมทางเศรษฐกิจ ความรุนแรงทางการเมืองและสังคมได้ หากไม่มีการปฏิรูปการเมืองในความหมายกว้าง คือ การปฏิรูปโครงสร้างของเศรษฐกิจ การเมืองสังคมไทยอย่างจริงจัง
คำว่า “การเมือง” ควรเข้าใจในความหมายกว้างว่า หมายถึง การที่สมาชิกในสังคมต่อรองและตกลงกันในการหาวิธีการจัดการทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เพื่อให้สมาชิกในสังคมได้อยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข ดังนั้น เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ฯลฯ จึงเป็นเรื่องการเมืองในความหมายกว้างนี้ทั้งสิ้น การเมืองไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องการเลือกตั้งผู้แทนระดับต่างๆเท่านั้น
แต่คำว่า ปฏิรูปการเมือง ในทัศนะของนักการเมือง (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) หลายคนมักจะเข้าใจ หรือตั้งใจจะหมายความแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา เพื่อปรับปรุงระบบการเลือกตั้งให้มีการแข่งขันกันซื้อเสียงน้อยลง และเป็นประโยชน์แก่พวกเขาในแง่ที่ว่าพวกเขาจะได้ไม่ต้องใช้เงิน ใช้ทองมากเกินไป และหรือจะได้ไม่ต้องพึ่งพา เป็นหนี้บุญคุณ ต้องเอาใจนักธุรกิจ นายทุนที่สนับสนุนพวกเขามากเกินไป
การแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปทางการเมืองในความหมายกว้างได้ แต่ไม่ได้แปลว่า เมื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จแล้ว ก็ถือว่าการปฏิรูปการเมืองจบแล้ว เพราะการร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น คงจะทำได้ในขอบเขตจำกัด ต้องมีการประนีประนอม ประสานประโยชน์ในหมู่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญและสภาผู้แทนราษฎรกันมาก รัฐธรรมนูญจึงคงจะออกมาอย่างที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิกต้องการ คือ แก้ไขในบางประเด็น แต่ไม่ได้ต่างไปจากเดิมมากนัก คือ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคนอย่างที่ประชาชนผู้มีการศึกษา มีความรู้ต้องการ
นอกจากนี้แล้ว เราต้องไม่ลืมรัฐธรรมนูญเป็นแค่ตัวบทกฎหมายที่คนที่มีอำนาจ (ทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจ) มีความรู้ มีการจัดตั้งองค์กรที่ดี สามารถใช้เป็นเครื่องมือให้เป็นประโยชน์แก่พวกตนได้มากกว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่มีอำนาจ ความรู้ การจัดตั้งองค์กรน้อยกว่า ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้โรคทุกอย่างได้ การปฏิรูปการเมืองที่แท้จริงจะต้องมุ่งปฏิรูปที่โครงสร้างทางอำนาจ โครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรมด้วย
สังคมไทยปัจจุบัน ต้องการการปฏิรูปการเมืองก็เพราะระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในปัจจุบันของไทย มีข้อบกพร่องเนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ยากจน การศึกษาและการรับรู้ข่าวสารต่ำ จึงมักนิยมเลือกคนที่เป็นผู้อุปถัมภ์ มีบุญคุณ คนรวยที่มีอำนาจบารมี คนที่พูดเก่ง หาเสียงเก่งเข้าไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เข้าไปเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยหวังจะได้พวกเขาเป็นที่พึ่ง เพื่อแก้ปัญหาส่วนตัว หรือแก้ปัญหาในท้องถิ่นมากกว่ามุ่งเลือกคนที่ไปทำหน้าที่ออกกฏหมาย และบริหารประเทศ โดยที่เมื่อพวกนักหาเสียงเลือกตั้งเก่งเหล่านี้ได้รับเลือกเข้าไปแล้ว ประชาชนก็ไม่มีสิทธิในการควบคุมดูแลถอดถอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริงได้ ไม่มีสิทธิในการควบคุมดูแลตรวจสอบราชการบริหารประเทศอย่างซื้อสัตย์ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ได้ เพราะทั้งรัฐธรรมนูญ ตัวบทกฏหมาย โครงสร้างทางการเมือง การบริหารราชการไม่เปิดช่องให้ และประชาชนก็มีอำนาจต่อรองทางการเมืองน้อยกว่าพวกนักการเมืองและข้าราชการมากมายหลายเท่า
ระบบการเมืองและการบริหารปัจจุบันเป็นระบบที่มีข้อบกพร่องที่สร้างปัญหาความ ขัดแย้งและทำลายตัวเองในระยะยาว ระบบนี้ส่งเสริมให้การพัฒนาการเมืองและเศรษฐกิจผูกขาดอยู่ในมือคนกลุ่มน้อยท ี่ทำเพื่อประโยชน์ตัวเองและพรรคพวกมากกว่าประชาชนส่วนใหญ่และเป็นกลุ่มคนที่ เล่นพรรคเล่นพวก ขาดความรู้ความสามารถ ขาดการมองการณ์ไกลในการบริหารประเทศ ทำให้การกระจายทรัพย์สินและรายได้มีความไม่เป็นธรรมมากขึ้น การพัฒนาเป็นไปอย่างไม่สมดุล ธรรมชาติแวดล้อมถูกทำลาย เกิดปัญหาทางสังคมมากขึ้น
แม้ในบางช่วงพวกเขาจะทำให้เศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศเจริญเติบโตในอัตราสูงได้ แต่เป็นการเติบโตแบบฟองสบู่ที่เกิดจากการลงทุนของต่างชาติ การส่งออกสินค้าที่ใช้ทุน วัตถุดิบจากต่างประเทศมากๆ การเก็งกำไรที่ดิน หุ้น การเติบโตของสินค้า และบริการที่ฟุ่มเฟือย แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับยิ่งเผชิญปัญหาค่าครองชีพสูง มีงานที่ให้ผลตอบแทนต่ำและไม่มั่นคงมีปัญหาด้านสุขภาพ (กายและใจ) และสภาพแวดล้อมเป็นพิษ ปัญหาอาชญากรรม ความเสื่อมโทรมทางสังคม ฯลฯ เพิ่มมากขึ้น ชนิดที่กำลังกลายเป็นวิกฤติการณ์ของสังคมไทยมากขึ้นทุกขณะและอาจจะนำไปสู่หายนะ ความล่มจมทางเศรษฐกิจ ความรุนแรงทางการเมืองและสังคมได้ หากไม่มีการปฏิรูปการเมืองในความหมายกว้าง คือ การปฏิรูปโครงสร้างของเศรษฐกิจ การเมืองสังคมไทยอย่างจริงจัง
วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ยุคของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง พ.ศ. 2501 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้หลอดสุญญากาศซึ่งใช้กำลังไฟฟ้าสูง จึงมีปัญหาเรื่องความร้อนและไส้หลอดขาดบ่อย ถึงแม้จะมีระบบระบายความร้อนที่ดีมาก การสั่งงานใช้ภาษาเครื่องซึ่งเป็นรหัสตัวเลขที่ยุ่งยากซับซ้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ของยุคนี้มีขนาดใหญ่โต เช่น มาร์ค วัน (MARK I), อีนิแอค (ENIAC), ยูนิแวค (UNIVAC)
มาร์ค วัน



อินิแอค

ยูนิแวค
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
คอมพิวเตอร์ยุคที่สอง อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2502 ถึง พ.ศ. 2506 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทรานซิสเตอร์ โดยมีแกนเฟอร์ไรท์เป็นหน่วยความจำ มีอุปกรณ์เก็บข้อมูลสำรองในรูปของสื่อบันทึกแม่เหล็ก เช่น จานแม่เหล็ก ส่วนทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีการพัฒนาดีขึ้น โดยสามารถเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงซึ่งเป็นภาษาที่เขียนเป็นประโยคที่คนสามารถเข้าใจได้ เช่น ภาษาฟอร์แทน ภาษาโคบอล เป็นต้น ภาษาระดับสูงนี้ได้มีการพัฒนาและใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 คอมพิวเตอร์ยุคที่สาม อยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2512 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) โดยวงจรรวมแต่ละตัวจะมีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ภายในมากมายทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์จะออกแบบซับซ้อนมากขึ้น และสามารถสร้างเป็นโปรแกรมย่อย ๆ ในการกำหนดชุดคำสั่งต่าง ๆ ทางด้านซอฟต์แวร์ก็มีระบบควบคุมที่มีความสามารถสูงทั้งในรูประบบแบ่งเวลาการทำงานให้กับงานหลาย ๆ อย่าง


คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4คอมพิวเตอร์ยุคที่สี่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 จนถึงปัจจุบัน เป็นยุคของคอมพิวเตอร์ที่ใช้วงจรรวมความจุสูงมาก(Very Large Scale Integration : VLSI) เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ที่บรรจุทรานซิสเตอร์นับหมื่นนับแสนตัว ทำให้ขนาดเครื่องคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงสามารถตั้งบนโต๊ะในสำนักงานหรือพกพาเหมือนกระเป๋าหิ้วไปในที่ต่าง ๆ ได้ ขณะเดียวกันระบบซอฟต์แวร์ก็ได้พัฒนาขีดความสามารถสูงขึ้นมาก มีโปรแกรมสำเร็จให้เลือกใช้กันมากทำให้เกิดความสะดวกในการใช้งานอย่างกว้างขวาง


คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5คอมพิวเตอร์ยุคที่ห้า เป็นคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์พยายามนำมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจและแก้ปัญหาให้ดียิ่งขึ้น โดยจะมีการเก็บความรอบรู้ต่าง ๆ เข้าไว้ในเครื่อง สามารถเรียกค้นและดึงความรู้ที่สะสมไว้มาใช้งานให้เป็นประโยชน์ คอมพิวเตอร์ยุคนี้เป็นผลจากวิชาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และประเทศในทวีปยุโรปกำลังสนใจค้นคว้าและพัฒนาทางด้านนี้กันอย่างจริงจัง
วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
รัฐศาสตร์
รัฐศาสตร์ ( political science)
เป็นสาขาวิชาที่เกิดขึ้นในราวศตวรรษที่ 19 ซึ่งนักรัฐศาสตร์ยุคแรกนั้นพัฒนากระบวนวิชาขึ้นมาให้สอดคล้องกับแนวนิยมทางวิทยาศาสตร์
สารานุกรมบริทานิกา คอนไซส์ (Britanica Concise Encyclopedia) อธิบายรัฐศาสตร์ว่า เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการปกครองและการเมืองด้วยแนวทางประจักษ์นิยม
(empiricism) นักรัฐศาสตร์คือนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามแสวงหา
และทำความเข้าใจธรรมชาติของการเมืองส่วนพจนานุกรมการเมืองของออกซ์ฟอร์ด
(Oxford Dictionary of Politics) นิยามว่า
รัฐศาสตร์เป็นการศึกษาเรื่องรัฐ รัฐบาล/การปกครอง (government) หรือการเมือง
กล่าวอย่างรวบรัดรัฐศาสตร์เป็นวิชาในสายสังคมศาสตร์
สาขาหนึ่งซึ่งแบ่งการศึกษาออกเป็นสาขาต่างๆ อาทิ ปรัชญาการเมือง
ประวัติศาสตร์การเมือง ประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมือง ทฤษฎีการเมือง
อุดมการณ์ทางการเมือง การบริหารรัฐกิจ
หรือการบริหารจัดการสาธารณะ หรือ รัฐประศาสนศาสตร์ การเมืองเปรียบเทียบ
(comparative politics), การพัฒนาการเมือง,
สถาบันทางการเมือง
, การเมืองระหว่างประเทศ การปกครองและการบริหารรัฐ (national
politics), การเมืองการปกครองท้องถิ่น (local politics) เป็นต้น ซึ่งสาขาต่างๆเหล่านี้อาจแปรเปลี่ยนไปตามแต่ละสถาบันว่าจะจัดการเรียนการสอนอย่างไร
อย่างไรก็ตามหากจะเรียกว่าการจัดกระบวนวิชาใดนั้นเป็นรัฐศาสตร์หรือไม่
ก็ขึ้นกับว่าการจัดการเรียนการสอนดังกล่าวใช้มโนทัศน์ "การเมือง"
เป็นมโนทัศน์หลัก (crucial concept/key concept) หรือไม่
แต่โดยจารีตของกระบวนวิชา(scholar) นั้นรัฐศาสตร์
จะมีสาขาย่อยที่เป็นหลักอย่างน้อย 3 สาขาคือ สาขาการปกครอง (government),
สาขาการบริหารกิจการสาธารณะ (public administration) และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ(international relation)
ประวัติการศึกษารัฐศาสตร์สากล
สมัยกรีกโบราณ ถึงยุโรปสมัยกลาง (ศควรรษที่ 6 - 5 ก่อนคริตกาล - ราว ศตวรรษ ที่ 12 - 14)
จารีตของวิชารัฐศาสตร์ก็ไม่ต่างจารีตของวิชาที่วงวิชาการไทยรับสืบทอดมาจากวงวิชาการในโลกที่ใช้ภาษาอังกฤษคือจะกล่าวอ้างไปถึงงานปรัชญาของ
เพลโต
และ อริสโตเติล
ว่าเป็นงานที่ศึกษารัฐศาสตร์ในยุคเริ่มแรก
ทว่าหากกล่าวอย่างเคร่งครัดนั้นในยุคกรีกโบราณมิได้มีการศึกษารัฐศาสตร์
เพราะการศึกษาทุกอย่างของกรีกโบราณจะเรียกว่าเป็นการ
"แสวงหามิตรภาพกับปัญญา" (philosophia ปัจจุบันแปลว่าปรัชญา
ซึ่งใช้แทนกันเป็นการทั่วไป แต่โดยนัยที่เคร่งครัดแล้วมีความตางกัน)
อย่างไรก็ตามนักปรัชญากรีกโบราณโดยเฉพาะสายโสคราตีส, เพลโต
และอริสโตเติลจะเชื่อว่า การศึกษาการเมืองคือเรื่องที่สำคัญที่สุด (politics
is a master of science) การศึกษาปรัชญาโดยใช้การเมืองเป็นศูนย์กลางคือรากฐานของวิชาปรัชญาการเมือง
และประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมือง
ในสมัยโรมันการศึกษาการเมืองไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก
อย่างไรก็ตามมรดกทางความคิดที่สำคัญคือการสร้างระบบกฎหมายที่ต่อมากลายเป็นรากฐานที่สำคัญของวิชานิติศาสตร์
และระบบการบริหารจัดการสาธารณะรัฐที่ต่อมากลายเป็นรากฐานของวิชาการบริหารจัดการสาธารณะ
ผลงานที่สำคัญในยุคโรมันคืองานของซิเซโร
หลังสิ้นสุดยุครุ่งเรื่องของปรัชญากรีก และการล่มสลายของจักรวรรดิ์โรมัน
(โรมันตอนต้นปกครองโดยสภาเรียกว่าสาธารณะรัฐ
ส่วนในตอนปลายปกครองโดยจักพรรดิ์จึงเรียกว่าจักรวรรดิ์)
ศาสนาคริสต์เข้ามามีอิทธิพลต่อวิธีชีวิตของชาวยุโรปในทุกเรื่อง
การศึกษาการเมืองจึงเป็นไปเพื่ออธิบายความว่าเหตุใดมนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปตามความเชื่อของศาสนานั้นสามารถปกครองกันเองได้อย่างไร
และกษัตริย์มีอำนาจชอบธรรมจากพระเจ้าอย่างไรจึงสามารถปกครองคนบาปได้
ในขณะเดียวกันปรัชญากรีดโบราณได้เติบโตในโลกมุสลิมเป็นอย่างมาก
มีการนำปรัชญากรีกไปร่วมอธิบายกับหลักปรัชญามุสลิม
และใช้เป็นรากฐานของการจัดการปกครอง
ปรัชญากรีกในโลกมุสลิมต่อมามีอิทธิพลอย่างสูงต่อยุโรป
โดยเฉพาะแนวคิดมนุษย์นิยมที่ต่อมากลายเป็นรากฐานของการปฏิวัติทางภูมิปัญญาในยุโรป
(the age of enlightenment)
สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการถึงสมัยใหม่ตอนต้น
(ราวศตวรรษ ที่ 13 - 19)
การปฏิวัติทางความคิดทางศาสนาคริสต์ การเติบโตขึ้นของแนวคิดมนุษย์นิยม
(humanism) ทำให้การศึกษาการเมืองในยุคนี้มีการพูดถึงการเมืองของมนุษย์มากขึ้น
โดยปรากฏชัดในงานเขียนเรื่อง "เจ้าผู้ปกครอง" (the prince) ของมาคิอาเวลลี ที่สอนการปกครองอย่างตรงไปตรงมา และในบางเรื่องดูจะโหดร้าย
และน่ารังเกียจหากมองด้วยสายตาของผู้ที่เคร่งครัดในจารีตทางความเชื่อแบบมีศีลมีธรรมแบบยุโรป
การปฏิวัติทางความคิดวิทยาศาสตร์ยุคแรก (the scientific
revolution) ส่งผลให้ในยุโรปเกิดกระแสการนำเอาวิทยาศาสตร์เข้ามาศึกษาการเมือง
โดยปรากฏอย่างชัดเจนในงานเรื่อง เลอไวธัน (Levithan) ของ
ฮอบส์ ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสังคมว่าไม่ต่างจากระบบกลไล
ที่รัฐคือองคาพยพใหญ่ และมนุษย์คือฟันเฟือง ในขณะเดียวกันงานของรุสโซก็สร้างข้อถกเถียงที่สำคัญว่าการศึกษาการเมืองนั้นจะใช้วิทยาศาสตร์หรือปรัชญาดี อิทธิพลทางความคิดดังกล่าวกลายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของแนวคิดทางการเมืองในยุคสมัยใหม่ตอนปลาย
และช่วงสงครามเย็นนั่นคือ อุดมการณ์ทางการเมือง
สมัยใหม่ตอนปลาย (ราวศตวรรษ ที่ 19 - 20)
เป็นยุคที่วิชา รัฐศาสตร์มีการศึกษาที่นำเอาวิทยาศาสตร์
เข้ามาช่วยศึกษา และเรียกการศึกษาการเมืองว่า "รัฐศาสตร์" (political
science) เป็นครั้งแรก ในช่วงทศวรรษที่ 1960 โดยเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาซึ่งแต่เดิมมีการเรียนการสอนอยู่ในคณะประวัติศาสตร์
ซึ่งศาสตร์ตราจารย์คนแรกของวิชารัฐศาสตร์คือฟรานซ์ ลีแบร์ (Francis Lieber)
นักปรัชญาอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน
โดยดำรงตำแหน่งเป็นศาตราจารย์ประวัติศาสตร์และรัฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย
การศึกษาวิชาในยุควิทยาศาสตร์นี้ได้สร้างวิธีการศึกษาการเมืองขึ้นมา
นั่นคือการศึกษาการเมืองผ่านการสร้าง ทฤษฎีการเมือง
นักรัฐศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่านักทฤษฎีการเมืองจะมองว่าทฤษฎี
คือเครื่องมือในการทำความเข้าในสภาพการเมืองโดยรวม
ซึ่งผลิตผลของการศึกษาทำความเข้าใจดังกล่าวจะได้มาซึ่งองค์ความรู้ที่สามารถนำมาประยุกต์สร้างตัวแบบ
(model) เพื่ออธิบายความจริง (fact) ที่เกิดขึ้น ในยุคนี้ยังเชื่อว่าการศึกษาการเมืองโดยใช้ปรัชญา
และประวัติศาสตร์เป็นเรื่องพ้นสมัย
การศึกษาการเมืองในยุคนี้จึงเน้นศึกษาพฤติกรรมทางการเมือง
แล้วนำมาวัดประเมินค่าในเชิงคณิตศาสตร์และสถิติ จึงเรียนรัฐศาสตร์ในยุคเริ่มแรกว่า
สำนักพฤติกรรมศาสตร์ (behavioralism)
อย่างไรก็ตามในเวลาช่วง ทศวรรษที่ 1970 - 1980 นักรัฐศาสตร์จำนวนมากก็ตั้งข้อกังขาว่าการเมืองนั้นสามารถวัดค่าเป็นตัวเลขได้หรือไม่
การถกเถียงดังกล่าวเกิดในวงวิชาการอเมริกัน
อันนำไปสู่การปฏิวัติการศึกษาการเมืองที่พยายามดึงเอาปรัชญา
และประวัติศาสตร์กลับมาอีกครั้ง เรียกว่านักรัฐศาสตร์สายหลังพฤติกรรมศาสตร์ (post-behavioralism)
ปัจจุบัน
การศึกษารัฐศาสตร์ในปัจจุบันมี 2 กระแส กระแสแรกคือสายที่ยังศึกษาแนวพฤติกรรมศาสตร์
คือเชื่อมั่นว่าการศึกษาการเมืองผ่านตัวเลข และสถิติมีความมั่นคงเชื่อถือได้
ส่วนอีกกระแสคือสายที่พยายามกลับไปใช้ปรัชญา
และประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือในการศึกษา รัฐศาสตร์ในปัจจุบันจึงมีลักษณะสาขาวิชาที่เป็นสหวิทยาการ
(interdisciplinary) สูงมากสาขาวิชาหนึ่งอย่างไรก็ตามจากการที่ความคิดตระกูลหลังสมัยใหม่เข้ามามีอิทธิพลต่อแวดวงวิชาการในทศวรรษที่
1980 ทำให้วิชารัฐศาสตร์ก็หลีกหนีแนวนิยมนี้ไม่พ้น
ปัจจุบันการศึกษารัฐศาตร์มิได้จำกัดขอบเขตการศึกษาอยู่ที่อธิบายสถาบัน
และกระบวนการสร้างสถาบันทางการเมือง ทั้งนี้ก็ด้วยความเข้าใจ “การเมือง” ที่เปลี่ยนแปรไป
โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของตระกูลทางความคิดแบบหลังโครงสร้างนิยม (post –
structuralism) หรือลัทธิหลังสมัยใหม่
โดยเฉพาะความคิดเรื่อง “เทคโนโลยีแห่งอำนาจ (technologies
of power)” ของมิแชล ฟูโกต์ นักคิดชาวฝรั่งเศส
กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเกี่ยวกับแนวความคิดเรื่องอำนาจ และการศึกษาการเมือง
ปัจจุบันการศึกษาการเมืองจึงไม่ต่างจากการศึกษาแทบทุกสิ่งทุกอย่างที่นักรัฐศาสตร์เห็นว่ามีปฏิบัติการณ์ทางอำนาจเกิดขึ้น
โดยเฉพาะหนังสือเรื่อง “วินัย และ การลงโทษ : การกำเนิดขึ้นของเรือนจำ (Discipline and Punish: The Birth of the
Prison)” ได้เสนอมุมมองใหม่ต่อสิ่งที่เรียกว่าการเมือง
และอำนาจอย่างมหาศาล
ประวัติการศึกษารัฐศาสตร์ของไทย
การศึกษาด้านรัฐศาสตร์ของไทยเริ่มต้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่
5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริจัดตั้ง โรงเรียนฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือน
เพื่อรับคัดเลือกนักเรียนเข้ามาฝึกหัดเป็นข้าราชการตามกระทรวงต่าง ๆ
(สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์หรือ รปส.) ต่อมาได้มีการขยายการศึกษาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพัฒนาโรงเรียนดังกล่าวเป็น
โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จากเหตุดังกล่าวนี้ การศึกษารัฐศาสตร์จึงเริ่มต้นขึ้น
โดยคณะรัฐศาสตร์แห่งแรก คือ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แห่งที่สอง คือ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแห่งที่สาม คือ ภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ข้อสังเกตคือในยุคเริ่มแรกนั้นรัฐศาสตร์ไทยนั้นเน้นผลิตบัณฑิตเข้าสู่วงราชการ
โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย
ซึ่งต่อมาจึงเป็นที่มาของการใช้ตราสิงห์เป็นสัญลักษณ์ของสาขาวิชาและอีกส่วนหนึ่งคือการเรียนการสอนรัฐศาสร์ไทยในยุคแรก
อันที่จริงเป็นการเรียนการสอนวิชารัฐประศาสนศาสตร์เพื่อสร้างข้าราชการป้อนให้กับรัฐไทย
หรือก็คือสอนวิชาบริหารจัดการสาธารณะภายได้ชื่อรัฐศาสตร์ทำให้ในเวลาต่อมาเกิดความสับสนในวงวิชาการว่ารัฐศาสตร์กับรัฐประศาสนศาสตร์นั้นมีความแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร
อย่างไรก็ตามในสังคมไทยมีการศึกษารัฐศาสตร์กระแสหนึ่งซึ่งเริ่มมีอิทธิพลขึ้นมากหลัง
พ.ศ. 2526 เรียกว่ารัฐศาสตร์ทวนกระแส ซึ่งโดยภาพรวมก็ไม่ต่างแนวหลังพฤติกรรมศาสตร์ในตะวันตก
วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
แนวคิดสำคัญในทางรัฐศาสตร์
รัฐศาสตร์ หรือ Political Science มาจากคำว่า Politics (การเมือง) + Science (ศาสตร์)
แต่ที่ใช้ภาษาไทยว่ารัฐศาสตร์เพราะในยุคหนึ่งนักวิชาการเชื่อว่าการเมืองเป็นเรื่องของรัฐ
ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็คือศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของรัฐ
การเมืองคือ
1. การเมืองเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับรัฐ (State)
อริสโตเติล เขียนหนังสือชื่อ Politics (มาจากคำว่า Polis แปลว่ารัฐ) กล่าวว่า
รัฐเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับชีวิตมนุษย์
นักคิดในยุคหลังอย่างศาสตราจารย์ทางรัฐศาสตร์ชื่อ แฟรงค์
เจ. กู๊ดนาว (Frank J. Goodnow) ค.ศ. 1904
ได้เสนอแนวคิดว่า รัฐศาสตร์คือศาสตร์ซึ่งว่าด้วยองค์กรอันเป็นที่รู้จักกันในนาม “รัฐ”
นิยามของรัฐ
1. กลุ่มคนที่รวมตัวกันเป็นระเบียบและอาศัยในอาณาเขตร่วมกัน
มีอำนาจอธิปไตยสูงสุดในอาณาเขตนั้น ๆ (Harold Lasswell และ Abraham
Caplan)
2.
องค์กรที่มีอำนาจผูกขาดในการใช้กำลังหรือใช้ความรุนแรงทั้งหลาย (Max Weber) เช่น ประกาศสงคราม
3. กลุ่มคนในอาณาเขตใด ๆ รัฐหนึ่ง ๆ
จะมีรูปแบบที่มีคนจำนวนหนึ่งมีอำนาจเหนือกลุ่มคนทั้งหมด
อำนาจนี้อาจมาจากการใช้กำลังหรือใช้วิธีการทางจิตวิทยาก็ได้ (Julius Gould and
William Kolb)
สรุป
1. รัฐเป็นองค์กรทางการเมืองที่มีสภาพต่างจากสังคมธรรมดา
โดยจะเน้นที่มิติทางการเมืองคือจะกล่าวถึงเรื่องอำนาจ อำนาจหน้าที่
มีการกำหนดโครงสร้างของรัฐบาล ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง ฯลฯ
2. องค์กรทางการเมืองที่เรียกว่ารัฐชาติหรือรัฐประชาชาติ (Nation State)
3. มีความหมายเท่ากับมลรัฐ
คือเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐหรือสหรัฐ เช่น
ประเทศสหรัฐอเมริกาประกอบด้วยมลรัฐต่าง ๆ 50 มลรัฐ
องค์ประกอบของรัฐ
1. ประชากร (Population) จะมากหรือน้อยไม่สำคัญ
2. อาณาเขตหรือดินแดน (Territory) ทั้งแผ่นดิน ในทะเล
อากาศ ไหล่ทวีป
3. รัฐบาล (Government) เป็นองค์กรหนึ่งของรัฐ
ทำหน้าที่ดำเนินกิจการแทนรัฐในนามประชาชน
ในอาณาเขตที่แน่นอนและเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐอื่น
หรือหมายถึงคณะบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายอำนาจให้ทำหน้าที่บริหารประเทศ
4. อำนาจอธิปไตย (Sovereignty) เป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
แบ่งเป็นสามอำนาจคืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
ชาติ (Nation) เป็นศัพท์ทางสังคมวิทยา
หมายถึง
1. กลุ่มประชากรภายในประเทศหนึ่งภายใต้รัฐบาลที่เป็นเอกราช
2. คนกลุ่มหนึ่งที่มีสถาบันและขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายคลึงกัน
มีความกลมเกลียวคือเข้ากันได้ทางสังคมและมีจุดสนใจคล้าย ๆ กัน
3. สังคมซึ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์ที่มีวัฒนธรรมและความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน
ใครมาแตะชาติไม่ได้
องค์ประกอบของชาติ
1. มีความผูกพันต่อถิ่นที่อยู่อาศัย
2. มีประวัติศาสตร์ร่วมกัน
3. มีวัฒนธรรมร่วม
4. ต้องการที่จะเป็นอิสระในการดำเนินชีวิต
มีชาติอาจไม่มีรัฐก็ได้ เช่น
ชนชาติกะเหรี่ยงมีองค์ประกอบความเป็นชาติครบถ้วน แต่ไม่มีรัฐกะเหรี่ยง
แต่ถ้ามีรัฐต้องมีชาติ (ประชากรหลากหลายชนชาติอาศัยอยู่ในรัฐเดียวกัน)
ข้อด้อยของนิยามที่ว่าการเมืองคือเรื่องของรัฐ
(นิยามของแฟรงค์ เจ. กู๊ดนาว)
1.
การบอกว่าการเมืองเป็นเรื่องราวของรัฐเป็นแนวคิดที่ตายตัวเกินไป
มองแค่องค์กรที่มีการจัดตั้งจากอำนาจรัฐ
ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์บางปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเขตแดนรัฐได้ เช่น สงครามปฏิวัติ
จักรวรรดินิยม ว่าปรากฏการณ์เหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไร
2. เน้นโครงสร้างที่เป็นทางการเป็นหลัก (องค์กร
สถาบันที่จัดตั้งขึ้นโดยใช้อำนาจรัฐ) เช่น รัฐบาล รัฐสภา พรรคการเมือง ฯลฯ
โดยไม่ให้ความสำคัญกับกลุ่มอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่เป็นทางการ เช่น
การรวมตัวกันของประชาชนในนามของสมัชชาคนจน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นปช.
การทำกิจกรรมของกลุ่มเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น
2. การเมืองคือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ (Power) และอิทธิพล
ฮาร์โรลด์ ลาสเวลล์ (Lasswell) กล่าวถึงรัฐศาสตร์ในฐานะที่เป็นการศึกษาเชิงประจักษ์ว่าคือการศึกษากระบวนการขัดเกลาและการเข้าไปมีส่วนร่วมในอำนาจนั่นเอง
และให้นิยามว่าการเมืองคือเรื่องของการที่ใคร ได้อะไร เมื่อใด และได้อย่างไร (Politics is
who gets what, when and how)
(การศึกษาเชิงประจักษ์คือการศึกษาที่ใช้ข้อมูลที่เป็นจริง
สามารถวัดได้ แจงนับได้)
ใคร ๆ ก็อยากได้อำนาจเพราะอำนาจทำให้สง่าผ่าเผย
ตอนไม่มีอำนาจต้องพยายามเข้าหาคนทุกชนชั้นทุกหมู่เหล่าเพื่อขอคะแนน
แต่เมื่อได้มาซึ่งอำนาจบุคลิกภาพจะเปลี่ยนไปทันที จากนอบน้อมถ่อมตนกลายเป็นคนมีมาด
และหายหัวไปเลยจนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่
บางคนรู้ดีว่าตนไม่มีวาสนาจะได้มีอำนาจขอแค่เป็นวอลเปเปอร์ให้ผู้มีอำนาจก็พอ
ลาสเวลล์และแคพแลน (Lasswell and
Kaplan) กล่าวว่า
อำนาจคือความสามารถที่จะสร้างผลกระทบหรือที่จะควบคุมการตัดสินใจ พฤติกรรม นโยบาย
ค่านิยม หรือโชคชะตาของผู้อื่นได้ ได้ เช่น
โจรเอาปืนมาจี้แล้วบอกให้เรายกมือขึ้นมีอะไรในกระเป๋าส่งมาให้หมด
เราต้องทำตามคำสั่งของโจรแสดงว่าโจรมีอำนาจในการกำกับควบคุมพฤติกรรมของเราให้เป็นไปตามที่โจรปรารถนา
สำหรับคำว่าอำนาจมีคำที่เกี่ยวข้องคือ
-อำนาจหน้าที่ (Authority) คือ อำนาจ + ความชอบธรรม
(Power + Legitimacy) อันหมายถึงการที่ประชาชนให้การยอมรับ
เชื่อฟัง ยอมปฏิบัติตามคำสั่งโดยถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องควรกระทำ
กรณีโจรจี้เรายอมทำตามเพราะโจรมีอำนาจเหนือเราในช่วงเวลานั้น
แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำให้เราต้องเสียทรัพย์มากกว่าที่ต้องเสียให้โจรด้วยซ้ำไปโดยที่เขาไม่ได้ใช้อาวุธอะไรเลย
คนกลุ่มนี้คือเจ้าหน้าที่สรรพากร
แม้เราไม่อยากให้ก็ต้องให้ด้วยรู้ว่าสรรพากรมีหน้าที่ตามกฎหมาย
และเราผู้เป็นราษฎรก็มีหน้าที่เสียภาษี ความแตกต่างระหว่างสรรพากรกับโจรอยู่ที่ Legitimacy โจรมีแค่ Power แต่เจ้าหน้าที่สรรพากรมี Authority
(Power + Legitimacy) มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะเก็บภาษีจากประชาชน
และประชาชนเองยอมรับเชื่อฟังปฏิบัติตามสรรพากร
แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน
กล่าวถึงที่มาของความชอบธรรมดังนี้
1) ประเพณี (Tradition)
เป็นความชอบธรรมที่มักเกิดขึ้นในสังคมแบบดั้งเดิม เช่น สังคมชนเผ่า
ลูกเผ่าเชื่อฟังหัวหน้าเผ่าเพราะหัวหน้าเผ่าขึ้นสู่ตำแหน่งตามธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมาของเผ่า
เช่น หัวหน้าเผ่าผู้ชราส่งมอบตำแหน่งให้ทายาทมีพ่อมดหมอผีมาทำพิธี
ก่อกองไฟกันสักกองหนึ่ง หมอผีร่ายเวทมนต์เชิญเทพยดาฟ้าดินมาเป็นพยานแล้วเอามงกุฎหรือคฑามอบให้ลูกชาย
เป็นสัญลักษณ์ว่านี่คือผู้นำคนใหม่คำพูดของผู้นำคือกฎหมาย
ที่สมาชิกในเผ่าต้องเคารพเชื่อฟัง
2) บารมี (Charisma) มักเกิดในสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงหรือช่วงของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอกราช
จะเกิดผู้นำที่มิใช่ทายาทของผู้นำเก่า
เป็นคนมีบารมีคือมีลักษณะพิเศษที่ทำให้คนในสังคมยอมเชื่อฟังปฏิบัติตาม เช่น มหาตมะ
คานธี เป็นคนแก่ตัวผอมถือไม้เท้าเดินยักแย่ยักยัน
เมื่อเกิดสงครามศาสนาระหว่างคนฮินดูกับคนมุสลิมคานธีประกาศอดอาหารจนกว่าคนทั้งสองศาสนาจะหยุดรบกัน
ทั้งสองฝ่ายเกรงว่าคานธีจะเสียชีวิตก็หยุดรบกันจริง ๆ ผู้นำบารมีคนอื่น ๆ เช่น
เหมาเจ๋อตุง โฮจิมินห์ ซูกาโน
3) กฎหมายหรือตรรกะนิตินัย (Legal) เช่น
เราปฏิบัติตามคำสั่งของ เจ้าหน้าที่สรรพากร เพราะคนเหล่านี้มีอำนาจตามกฎหมาย
(กติกาที่สังคมใดสังคมหนึ่งตราขึ้นมาบังคับใช้ เพื่อควบคุมพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนของคนในสังคมให้เป็นไปตามแนวทางที่ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่สังคมโดยรวม)
กฎหมายเป็นที่มาของความชอบธรรมสมาชิกต่างให้การเกื้อหนุน ยอมรับ
และปฏิบัติตามคำสั่ง
-อิทธิพล (Influence) เป็นคำที่ถูกตีความไปในแง่ลบ
ทั้ง ๆ ที่ความหมายจริง ๆ แล้วหมายถึง
ความสามารถในการโน้มน้าวให้บุคคลยอมรับหรือกระทำการใด ๆ
แม้ว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะกระทำก็ตาม เช่น พ่อแม่มีอิทธิพลต่อลูก
ลูกต้องเรียนอย่างที่พ่อแม่ต้องการ ครูบาอาจารย์มีอิทธิพลต่อลูกศิษย์ เช่น
สมัยเด็ก ๆ อาจารย์เรียนภาษาอังกฤษเก่ง ครูสอนภาษาอังกฤษเลยแนะนำว่าควรเรียนรัฐศาสตร์เผื่ออนาคตจะได้เป็นนักการทูต
อิทธิพลเกี่ยวข้องกับการเมืองคือ
นักการเมืองส่วนใหญ่ใช้อิทธิพลเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความน่าเชื่อถือแก่ตน
ว่าตนเองมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าไปนั่งในตำแหน่งแห่งอำนาจ
ในช่วงหาเสียงหรือฤดูนับญาตินักการเมืองพยายามโน้มน้าวให้ประชาชนเลือกตนเข้าไปนั่งในสภา
และต้องใช้ตัวช่วย เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครูใหญ่ เจ้าอาวาส
เพื่อให้คนเหล่านี้โน้มน้าวให้ชาวบ้านมาเลือกผู้สมัครเบอร์นั้นเบอร์นี้ ถ้ากำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าอาวาส หรือครูใหญ่ สามารถโน้มน้าวให้ชาวบ้านเลือกผู้สมัครของตนได้มากที่สุดโดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด
คน ๆ นั้นก็ถือว่ามีอิทธิพลมาก
อาจารย์ลองถามนักศึกษาดูว่าใครมีอิทธิพลมากที่สุดแถวอีสาน
นักศึกษาตอบว่าเนวิน
แต่อาจารย์คิดว่าหลวงพ่อคูณเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในจังหวัดนครราชสีมาและแถบภาคอีสาน
ใช้ทรัพยากรเพียงเล็กน้อยแค่นำหนังสือพิมพ์เก่า ๆ
มาม้วนแล้วเคาะหัวประชาชนพร้อมพูดว่า “เลือกเบอร์ 1 เด้อ เลือกเบอร์ 1 เด้อ” คนก็เลือกเบอร์
1 กันหมด
นี่คือการใช้ทรัพยากรน้อยที่สุดไม่ต้องมีเงินเป็นหมื่นล้านไม่ต้องโฟนอินแต่ได้ผลมากที่สุด
มีอำนาจในการโน้มน้าวสูงชี้ให้เห็นว่าท่านมีอิทธิพลมาก
นักศึกษาอย่าคิดว่าอิทธิพลคือการใช้อำนาจมืด ใช้กำลังซ่องสุม
แต่เป็นเรื่องของความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้อื่น
การเมืองไทยมีเรื่องของอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา
3. การเมืองเป็นเรื่องการใช้อำนาจในการแจกแจงแบ่งสรรสิ่งที่มีคุณค่าของสังคม
เดวิด อีสตัน (David Easton) มองว่า
การเมืองเป็นเรื่องของการใช้อำนาจอันชอบธรรมในการแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าของสังคม
โดยที่ผลที่ออกมาจากการตัดสินใจจะผูกมัดกับทุกคนในสังคม เช่น
พรรคการเมืองเสนอนโยบายเพื่อหวังจะสร้างการกินดีอยู่ดี นำงบประมาณ กำลังคนภาครัฐ
และเครื่องไม้เครื่องมือที่มีมาบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน
สรุป เราจะเข้าใจการเมืองได้ดีก็ต่อเมื่อเรามองการเมืองจากสามมุมองหลักดังต่อไปนี้
มุมมองแรก เราอาจจะเข้าใจการเมืองได้จากประโยคที่เชื่อว่าเป็นกิจกรรมที่เป็นการเมืองโดยธรรมชาติ
ได้แก่
1. การเมืองเป็นเรื่องของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบันและการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล
สถาบันสำคัญทางการเมือง เช่น พรรคการเมือง รัฐสภา รัฐบาล พฤติกรรมต่าง ๆ
ของสมาชิกสถาบันเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องการเมืองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการประชุมสภา
การประชุม ครม. และอื่น ๆ
2. การเมืองเป็นเรื่องของการแจกแจงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
งบประมาณแต่ละปีมีอยู่อย่างจำกัด ทำอย่างไรจึงจะนำงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้นมาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้
3. การเมืองเป็นปฏิกิริยาของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอำนาจ
การเมืองเป็นเรื่องของการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
มุมมองที่ 2 มองการเมืองจากคำถามคำตอบที่ควรตั้งเพื่อที่จะเข้าใจการเมือง
ได้แก่
1. ทำไมกลุ่ม/องค์กร พรรคการเมืองใด ๆ
สามารถดำรงอยู่ได้ท่ามกลางอุปสรรคและกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น
พรรคประชาธิปัตย์ สามารถดำเนินงานทางการเมืองอย่างต่อเนื่องได้หกสิบกว่าปี
ทำไมบางพรรคอยู่ไม่นานก็หายไป คำตอบก็เป็นเรื่องของการเมืองนั่นเอง
2. ทำไมคนบางคนบางกลุ่มจึงสามารถขึ้นสู่อำนาจและรักษาอำนาจเอาไว้ได้
ในขณะที่บางคนไม่สามารถรักษาอำนาจไว้ได้ในเวลาอันสมควรอยู่ได้แค่ในระยะสั้น ๆ
เท่านั้น แถมบางคนไม่สามารถขึ้นสู่อำนาจได้เลยไม่ว่าจะพยายามมากี่ครั้งแล้วก็ตาม
คำตอบเป็นเรื่องของการเมือง
3. สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในแบบใดที่นำไปสู่การปกครองในรูปแบบที่แตกต่างกัน
เช่น ประเทศที่ใช้อุดมการณ์สังคมนิยมเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
รัฐเข้าไปกำกับควบคุมปัจจัยการผลิตของสังคมนำไปสู่การแจกแจงแบ่งสรรทรัพยากรบนพื้นฐานของความเป็นธรรมเน้นความกินดีอยู่ดีของสังคมโดยรวม
(Well-being)
เพื่อลดช่องว่างระหว่างชนชั้นให้แคบลงโดยใช้นโยบายรัฐสวัสดิการ (Welfare
State) เช่น เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี เรียนจบแล้วมีงานทำ
ตกงานรัฐมีเงินช่วยเหลือให้ ระหว่างนั้นรัฐก็ต้องหางานใหม่ให้ด้วย
ถ้าไม่มีความรู้ในงานใหม่แต่เป็นงานที่อยากทำ รัฐก็จะจัดโครงการต้นกล้าอาชีพให้
นำมาอบรมจนทำงานเป็นแล้วให้ทำงาน สังคมแบบนี้มักมีรูปแบบการปกครองเป็นเผด็จการ (Dictatorship) รัฐต้องมีอำนาจมากในการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามอุดมการณ์สังคมนิยม
ในทางตรงข้ามสังคมที่ยึดมั่นอุดมการณ์เศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่ให้เสรีภาพในการประกอบการบนพื้นฐานความเชื่อว่า
คนเราเกิดมามีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน
ใครมีความสามารถมากกว่ามีสิทธิที่จะใช้สิ่งที่ตนเองมีดำเนินการเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง
ลัทธิทางเศรษฐกิจแบบนี้มักเอื้อต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ลัทธิเศรษฐกิจแบบหนึ่งจะเอื้อต่อรูปแบบการเมืองการปกครองแบบหนึ่ง
มุมมองที่สาม จะมองการเมืองจากกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่สำคัญๆ
ได้แก่
1. การเมืองเป็นเรื่องของความขัดแย้ง
อาจเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่าง ๆ หรือ
ความขัดแย้งระหว่างผู้นำทางการเมืองด้วยกัน
2. การเมืองเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ
3. การเมืองเป็นเรื่องของกิจกรรมของผู้นำ
4. การเมืองเป็นเรื่องของการตัดสินใจของผู้มีอำนาจหน้าที่ทางการเมือง
คำตอบเกี่ยวกับการเมืองมีหลายคำตอบขึ้นอยู่กับมุมมองของนักวิชาการแต่ละคนว่าจะเน้นศึกษาการเมืองในแง่ใด
แต่ละมุมมองทำให้นักวิชาการกำหนดยุทธวิธีในการศึกษาทำความเข้าใจการเมืองแตกต่างกัน
ยุทธวิธีในการศึกษาการเมืองหรือ Approach จึงมีอยู่มากมาย
โดยแต่ละ Approach มีพื้นฐานความเชื่อว่าการเมืองคืออะไรแตกต่างกันไป
เช่น
-Power Approach มองว่า
การเมืองคือการต่อสู้เพื่ออำนาจ
-Interest Group Approach มองว่า
การเมืองเป็นความขัดแย้งในผลประโยชน์
-System Approach มองว่า
การเมืองเป็นเรื่องของการใช้อำนาจอันชอบธรรมในการแจกแจงแบ่งสรรทรัพยากรและสิ่งมีคุณค่าในสังคม
ผลที่ได้จาการตัดสินใจของผู้มีอำนาจจะบังคับใช้กับคนทุกคน
-Elite Approach มองว่า
การเมืองเป็นกิจกรรมของชนชั้นนำ
-Decision Making Approach มองว่า
การเมืองเป็นการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ
เห็นได้ว่าแต่ละ Approach มองการเมืองในมุมมองที่แตกต่างกันไป
เพราะนักวิชาการแต่ละคนพยายามสร้างเครื่องมือในการทำความเข้าใจการเมืองจากมุมมองของตนเอง
ทำให้มี Approach มากมายในการศึกษา
(อาจารย์เคยออกข้อสอบว่า
จากมุมมองการเมืองที่แตกต่างกันไปยังผลให้เกิด Approach ต่าง ๆ ตามมามากมาย จงยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน)
พื้นฐานความเชื่อร่วมกันของคำว่าการเมือง
นักวิชาการแต่ละคนอาจจะมองการเมืองแตกต่างกัน
แต่นักวิชาการเหล่านี้มีพื้นฐานความเชื่อเกี่ยวกับการเมืองร่วมกันคือ
1. ทุกสังคมมีปัญหาหลักเหมือนกันคือการขาดแคลนทรัพยากร
อุปสงค์ (Demand) จะมีมากกว่าอุปทาน (Supply) อยู่ตลอดเวลา งบประมาณ กำลังคน
เครื่องไม้เครื่องมือของรัฐมีอยู่อย่างจำกัด
แต่ความต้องการของประชาชนมีมากมายเกินกว่าที่งบประมาณของรัฐจะสนองได้
2. ความจำเป็นที่ต้องมีรัฐบาล
เมื่อทรัพยากรมีน้อยความต้องการมีมากเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดความโกลาหลในสังคมอันเนื่องมาจากกลุ่มคนที่แข็งแรงกว่าเข้ามาแก่งแย่งทรัพยากรของสังคมเพื่อเอาประโยชน์ให้แก่กลุ่มของตน
ทุกสังคมจึงจำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรขึ้นมาทำหน้าที่แจกแจงแบ่งสรรทรัพยากรของสังคมคือรัฐบาล
รัฐบาลจะทำหน้าที่แจกแจงทรัพยากรบนพื้นฐานการยอมรับของสมาชิกในสังคม
3. ในกระบวนการของการแจกแจงทรัพยากรของรัฐจะมีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์เพราะงบประมาณมีจำกัด
4. ในทุกสังคมคนที่ได้ประโยชน์ (Haves อ่านว่าแฮฟส์ ไม่ใช่ฮาเวส) เป็นคนจำนวนไม่มาก กลุ่มที่เสียประโยชน์ (Have
- nots) มีจำนวนมากกว่าและมองว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม
5.
กลุ่มที่เสียประโยชน์พยายามรวมตัวกันเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง
รุกเร้าขอให้รัฐดำเนินการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มตนเองบ้าง อาจดำเนินการตามกฎหมาย
สันติวิธี หรือใช้กำลังรุนแรง
6. ในขณะเดียวกันกลุ่มที่ได้ประโยชน์อยู่แล้วก็พยายามต่อต้านกลุ่มที่เรียกร้องโดยอ้างว่ารัฐบาลทำดีอยู่แล้ว
7. กลุ่มที่ได้ประโยชน์อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบอยู่แล้วมีโอกาสเหนือกลุ่มอื่น
ๆ จะใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อรักษาสถานภาพที่ได้เปรียบของตนเองเอาไว้
โดยส่วนใหญ่กลุ่ม Haves จะเป็นผู้ปกครอง ชนชั้นสูง
นายทุนซึ่งได้ประโยชน์จากการดำเนินการของรัฐ
ออกกฎเกณฑ์กติกาป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาแย่งชิงผลประโยชน์ของตน เช่น
สร้างความเชื่อว่าที่ประชาชนเกิดมาอดอยากยากแค้นเพราะชาติที่แล้วทำกรรมไว้มาก
ผู้ปกครองที่มีอำนาจวาสนาบารมีเพราะชาติที่แล้วทำบุญ
เพราะฉะนั้นคนจนก็ควรก้มหน้ารับกรรมแล้วทำสมาธิอย่าไปคิดอะไรให้มาก
สรุป การเมืองจึงเป็นเรื่องของปฏิกริยาระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง
และเป็นการแก่งแย่งสิทธิที่จะมีอำนาจในการปกครองระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเองอีกด้วย
การรัฐประหารก็คือการแย่งอำนาจระหว่างผู้ปกครองด้วยกันนั่นเอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)