วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เคอร์ฟิว( Curfew)

 
(ภาษาอังกฤษ Curfew)
เคอร์ฟิว คืออะไร เหตุใดถึงต้อง ประกาศเคอร์ฟิว 2557  รวมถึงข้อห้ามและโทษหากผู้ที่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว
            หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ประกาศรัฐประหารยึดอำนาจการปกครอง เมื่อเวลา 16.30 น. ของวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา พร้อมกับจัดตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อดูแลและแก้ไขปัญหาความไม่สงบภายในประเทศให้เป็นไปความเรียบร้อย พร้อมออกประกาศและออกคำสั่งในหลายเรื่องให้ประชาชนได้ทราบกันนั้น
            เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. ในวันเดียวกันนั้น ทาง คสช. ได้ "ประกาศเคอร์ฟิว 2557"
  ห้ามออกนอกเคหสถาน ตั้งแต่เวลา 22.00-05.00 น. เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ และต่อมาเมื่อวันที่ 27 พ.ค. 57  คสช.ได้ออกประกาศฉบับที่ 42 ปรับเวลาเคอร์ฟิวใหม่ เป็นเวลา 00.01-04.00 น. มีผลตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นไป เพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชน ซึ่งหลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่า เคอร์ฟิว คืออะไร และหากเรามีเหตุจำเป็นต้องเดินทางในช่วงเวลาเคอร์ฟิวจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ตามไปหาคำตอบกันเลย...
เคอร์ฟิว คืออะไร
            เคอร์ฟิว (ภาษาอังกฤษ Curfew) หมายถึง มาตรการห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด หรือห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะ ซึ่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9 (1) ระบุว่า ห้ามมิให้บุคคลใดออกนอกเคหสถานภายในระยะเวลาที่กำหนด เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับยกเว้น นอกจากนี้ มาตรา 9 (4)  ยังห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขการใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
            ทั้งนี้ เคอร์ฟิว เป็นการประกาศหลังจากที่ประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่าจำเป็น ซึ่งถูกกำหนดขึ้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือให้เกิดความสะดวกต่อการปราบปรามกลุ่มเป้าหมาย และเป็นการสะดวกในการแยกแยะกลุ่มผู้ชุมนุม กลุ่มผู้ก่อการร้าย หรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
ประกาศ เคอร์ฟิว ประชาชนต้องทำตัวอย่างไร
            เคอร์ฟิว จะมีการกำหนดเวลาไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามออกจากเคหสถานในช่วงเวลาใดบ้าง ซึ่งช่วงเวลาที่เคอร์ฟิวนั้น เจ้าหน้าที่สามารถตรวจการและดำเนินการทางยุทธวิธี โดยไม่เป็นอันตรายแก่ประชาชน แต่หากพบว่าประชาชนคนไหนขัดขืนโดยไม่มีเหตุผล เหตุจำเป็น หรือหลักฐานแสดงตนชัดเจน ก็จะถือว่ามีเจตนาฝ่าฝืน ซึ่งเจ้าหน้าที่อาจจะดำเนินการได้ เนื่องจากได้แจ้งให้ทราบแล้วว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีการเคอร์ฟิว
            อย่างไรก็ตาม สำหรับการประกาศเคอร์ฟิว 2557 ที่ผ่านมา ทาง คสช. ออกประกาศฉบับที่ 8 ระบุยกเว้นเคอร์ฟิวกับบุคคลที่ต้องเดินทางเข้า-ออก ประเทศ, เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเป็นช่วงเวลา เช่น โรงงานอุตสาหกรรม หรือโรงพยาบาล, ธุรกิจการบิน, การเดินทางขนส่งสินค้าที่มีอายุจำกัด และผู้ป่วย ส่วนผู้ที่มีกิจธุระจำเป็นอื่น ๆ ให้ขออนุญาตทหารในพื้นที่
การลงโทษหากผู้ฝ่าฝืน เคอร์ฟิว
            สำหรับการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ในการประกาศเคอร์ฟิว เมื่อปี 2553 ที่ผ่านมา ทางศูนย์อำนวยแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แจ้งว่ามีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวกว่า 500 คน โดยได้ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท ซึ่งโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี แต่หากทำผิดซ้ำจะดำเนินคดีทันทีไม่รอลงอาญา ในส่วนของการประกาศเคอร์ฟิว 2557 ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ฝ่าฝืนเคอร์ฟิวหรือมีการลงโทษแล้วแต่อย่างใด
เคอร์ฟิว ภาคใต้
            จากเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมานั้น ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2556 หารือถึงการออกประกาศเคอร์ฟิว เนื่องจากเป็นการปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่วันนี้ ก็มีนักวิชาการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า สถานการณ์ภาคใต้ ยังไม่รุนแรงถึงต้องประกาศเคอร์ฟิว พร้อมทั้งแนะนำให้เจ้าหน้าที่ที่มีอยู่ เน้นการตรวจตราตามจุดตรวจต่าง ๆ เพิ่มการลาดตระเวนแทน เพราะการประกาศเคอร์ฟิวภาคใต้อาจจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี อีกทั้งวิถีของชาวมุสลิมส่วนใหญ่ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเพื่อไปละหมาด และโดยสถิติแล้วผู้ก่อการร้ายส่วนใหญ่มักไม่ก่อเหตุในช่วงเวลาดังกล่าว แต่จะก่อเหตุในช่วงเช้าหรือตอนกลางวัน
 
 

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อำนาจอธิปไตย


อำนาจอธิปไตย

อำนาจอธิปไตย (อังกฤษ: sovereignty) หมายถึง อำนาจสูงสุดในการปกครองรัฐ ดังนั้น สิ่งอื่นใดจะมีอำนาจยิ่งกว่าหรือขัดต่ออำนาจอธิปไตยหาได้ไม่

อำนาจอธิปไตย ย่อมมีความแตกต่างกันไปในแต่ละระบอบการปกครอง ตัวอย่างเช่น ในระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน กล่าวคือ ประชาชนคือผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์ คือ กษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นต้น

อนึ่ง อำนาจอธิปไตยนี้ นับเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของความเป็นรัฐ เพราะการจะเป็นรัฐได้นั้น นอกจากต้องประกอบด้วย อาณาเขต ประชากร และรัฐบาลแล้ว ย่อมต้องมีอำนาจอธิปไตยด้วย กล่าวคือ ประเทศนั้นต้องเป็นประเทศที่สามารถมีอำนาจสูงสุด (อำนาจอธิปไตย) ในการปกครองตนเอง จึงจะสามารถเรียกว่า "รัฐ" ได้

แนวคิดอำนาจอธิปไตย

ในสารานุกรมบริเตนนิกา กล่าวได้ว่าหมายถึง สิทธิแห่งอัตลักษณ์ทางการเมือง (Political Entity) ที่บ่งบอกถึงการใช้อำนาจของรัฐาธิปัตย์หรือผู้มีอำนาจสูงสุดทางการปกครอง อันแสดงถึงมโนทัศน์ของการมีอำนาจสูงสุด (the supremacy of power) ภายในขอบเขตเชิงภูมิศาสตร์แห่งรัฐ

แนวคิดสำคัญเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตย ในกฎหมายระหว่างประเทศ ระบุไว้ว่าอำนาจประการนี้หมายความถึง การใช้อำนาจโดยรัฐ อำนาจอธิปไตยโดยนิตินัย (De jure Sovereignty) หมายความถึง สิทธิอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำการหนึ่งใด ส่วนอำนาจอธิปไตยโดยพฤตินัย (De facto Sovereignty) ความสามารถในทางจริงที่จะกระทำการเช่นนั้น

อำนาจตามความที่กล่าวถึงข้างต้น หมายความไปถึงอำนาจในลักษณะการที่สามารถเข้าใจได้ง่ายว่าเป็นอำนาจสูงสุดทางการปกครองของประเทศหนึ่งประเทศใด หรือรัฐหนึ่งรัฐใด ในฐานะหนึ่งที่อำนาจอธิปไตยเป็นองค์ประกอบที่แสดงให้เห็นและขาดเสียมิได้ของรัฐสมัยใหม่ (Modern State) หรือรัฐประชาชาติ (Nation-State) มิเช่นนั้น รัฐหรือรัฐประชาชาตินั้น ย่อมขาดความเป็นเอกราชในทางการเมืองการปกครอง

เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์ (2508, 100) ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญของอำนาจอธิปไตยไว้ดังนี้

1.             ความเด็ดขาด (Absoluteness) กล่าวคือ ไม่มีอำนาจอื่นใดภายในรัฐที่เหนือกว่า และจะไม่มีอำนาจอื่นที่มาจำกัดอำนาจในการออกกฎหมายของรัฐ

2.             การทั่วไป (Universality) อำนาจอธิปไตยของรัฐ มีอยู่เหนือทุกคนและทุกองค์กรที่อยู่ในรัฐ มีข้อยกเว้นเพียงแต่ว่า เมื่อมีผู้แทนของต่างรัฐมาประจำในประเทศ ผู้แทนต่างรัฐจะไม่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐนั้น ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติระหว่างประเทศมานาน

3.             ความถาวร (Permanence) อำนาจอธิปไตยของรัฐยังคงมีอยู่ตราบเท่าที่รัฐยังคงดำรงอยู่ ผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในนามของรัฐอาจจะเปลี่ยนแปลงหรืออาจมีการปฏิรูปการปกครองเปลี่ยนระบบของรัฐบาลได้ แต่อำนาจอธิปไตยมิได้สูญหายไปจากรัฐ

4.             การแบ่งแยกมิได้ (Indivisibility) หมายความว่า ในรัฐ ๆ หนึ่ง จะต้องมีอำนาจอธิปไตยที่เป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น หากมีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยก็ย่อมเป็นการทำลายอำนาจอธิปไตย แต่ในที่นี่การแบ่งแยกดังกล่าวมิได้หมายถึง การแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยให้องค์กรต่าง ๆ เป็นผู้ใช้อำนาจ

นับได้ว่า ฌ็อง บอแด็ง (Jean Bodin) เป็นนักปรัชญาการเมืองของโลกตะวันตก ชาวฝรั่งเศส ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 หรือประมาณ พ.ศ. 2100 คนแรกที่ริเริ่มใช้คำว่าอำนาจอธิปไตย ในความหมายที่เข้าใจกันอยู่ในปัจจุบัน กล่าวคือในความหมายที่เป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่รัฐทั้งหลายในโลกปกครองโดยระบอบที่มีกษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดหรือสมบรูณาญาสิทธิราชย์ ภายใต้คติความเชื่อทางการปกครองอันไม่แตกต่างกันมากนักว่ากษัตริย์เป็นผู้ได้รับอาณัติอำนาจจากสวรรค์ หรือจุติจากสวรรค์ลงมาปกครองโลก (Divine Rights of King)

บอแด็งได้เสนอปรัชญาเกี่ยวกับทฤษฎีอำนาจอธิปไตยไว้ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นเครื่องหมายที่บอกถึงความแตกต่างระหว่างรัฐกับสังคมอื่น ๆ ที่ครอบครัวหลายครอบครัวอยู่ร่วมกัน บอแด็งได้เริ่มต้นอธิบายเรื่องนี้ไว้ในบทที่ 8 และบทที่ 10 ของหนังสือเรื่อง "Six Books" พรรณนาว่าครอบครัวเป็นพลเมืองของรัฐ ซึ่งต้องยอมอยู่ภายใต้อำนาจขององค์อธิปัตย์ หรือผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุด ซึ่งโดยหลักการนี้ รัฐจึงประกอบด้วยผู้ปกครองและผู้ใต้อำนาจปกครอง และการยอมรับในอำนาจปกครองของพลเมืองผู้อยู่ใต้การปกครองนี่เอง จะทำให้มนุษย์เป็นพลเมืองได้เป็นประการสำคัญ นอกจากรัฐจะมีอธิปัตย์หรือมีอำนาจอธิปไตยแล้ว รัฐจะมีพลเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของผู้ปกครองอันเดียวกัน แม้พลเมืองจะมีขนธรรมเนียมภาษากฎหมายที่ยอมรับบังคับใช้ หรือศาสนาที่ต่างจากผู้ปกครองก็ตาม

บอแด็งกล่าวเกี่ยวกับรัฐไว้ว่า รูปแบบของรัฐบาลจะเป็นรูปใดนั้น จะขึ้นอยู่กับว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของใคร หากเป็นของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจของรัฐก็จะเป็นของกษัตริย์ ซึ่งจะเป็นองค์อธิปัตย์หนึ่งเดียว หากเป็นคณะบุคคลปกครองก็จะเป็นคณาอธิปไตย ขณะที่ถ้าเป็นสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจปกกกครอง ก็จะเป็นประชาธิปไตย ในแง่รัฐบาล บอแด็งมีความเห็นว่ารัฐเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตย ขณะที่รัฐบาลเป็นเครื่องมือที่รัฐจะใช้อำนาจอธิปไตย

อำนาจอธิปไตยในทัศนะของบอแด็งนั้นหมายความถึง อำนาจที่มีถาวรไม่จำกัด และไม่มีเงื่อนไขผูกมัดที่จะออกกฎหมาย ตีความและรักษากฎหมาย อำนาจนี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อรัฐที่มีระเบียบที่ดี อำนาจนี้เองทำให้รัฐแตกต่างไปจากการรวมกลุ่มของบุคคลในสมัยโบราณ อย่างไรก็ตาม บอแด็งเห็นว่า อำนาจอธิปไตยนี้อาจถูกจำกัดโดยกฎหมายธรรมชาติหรือกฎธรรมชาติ อันเป็นบรรดากฎหมายต่าง ๆ ที่กำหนดความถูกต้องหรือความผิดในลักษณะที่มุ่งให้คน รักษาสัญญาและเคารพทรัพย์สินของคนอื่น ส่วนอีกประการหนึ่งที่เป็นสิ่งจำกัดอำนาจอธิปไตยคือ กฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งหมายถึงกฎหมายหลักของประเทศ (โดยเฉพาะหมายถึงรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส)

มงแต็สกีเยอ (Montesquieu) นักคิดนักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส ผู้ให้กำเนิดแนวคิดในการแบ่งแยกอำนาจปกครองสูงสุดหรืออำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย โดยพิจารณาในแง่ขององค์กรผู้ใช้อำนาจออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ ตามแนวคิดของอริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์การเมืองชาวกรีกโบราณ บนพื้นฐานหรือมีเป้าประสงค์ประการสำคัญแหล่งหลักการคือการให้อำนาจแต่ละฝ่ายถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกันทั้งสามฝ่าย และเพื่อประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้ปลอดจากการใช้อำนาจโดยมิชอบขององค์กรภาครัฐที่ใช้อำนาจหนึ่งอำนาจใดที่อาจละเมิดลิดรอนโดยอำนาจรัฐไม่ว่าฝ่ายใด ซึ่งตามแนวคิดดั้งเดิมของมงแต็สกีเยอนั้น ได้แบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ (Puissance Legislative) ซึ่งใช้อำนาจปฏิบัติการต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับกฎหมายมหาชน และองค์กรที่ใช้อำนาจปฏิบัติการต่าง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับกฎหมายเอกชน ซึ่งก็คือ สภาที่ทำหน้าที่ประชุมและปรึกษาในเรื่องการเมือง องค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือช้าราชการ และองค์กรฝ่ายตุลาการ นั่นเอง เหตุผลที่มงแต็สกีเยอเสนอแนวคิกให้แบ่งแยกอำนาจการปกครองสูงสุดนี้เนื่องจากเขาเห็นว่า หากอำนาจในการนิติบัญญัติหรือการตรากฎหมาย อำนาจในการบริหารหรือการบังคับตามมติมหาชน และอำนาจตุลาการในการพิจารณาคดี ถูกใช้โดยบุคคลเดียวหรือองค์กรเดียว ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือประชาชนก็ตามแล้ว ยากที่จะมีเสรีภาพอยู่ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะ ผู้ใช้ทั้งอำนาจนิติบัญญัติรวมกับอำนาจบริหาร จะออกกฎหมายแบบทรราชและบังคับใช้กฎหมายในทางมิชอบ หากอำนาจตุลาการรวมกันกับอำนาจนิติบัญญัติ ผู้พิพากษาจะเป็นผู้ออกกฎหมาย อันอาจส่งผลให้ชีวิตและเสรีภาพของผู้ใต้การปกครอง ถูกบังคับควบคุมโดยกฎหมายที่ลำเอียง และหากให้อำนาจตุลาการรวมกับอำนาจบริหารแล้ว ผู้พิพากษาจะประพฤติตัวแบบกดขี่รุนแรง อันจำเป็นต้องแยกอำนาจแต่ละด้านออกจากกัน

อย่างไรก็ตาม ด้วยฐานคิดของมงแต็สกีเยอที่ว่า การแบ่งแยกอำนาจการปกครองมิใช่มรรควิธีประการเดียวในการตรวจสอบควบคุมการใช้อำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐบาลยากที่จะจัดการกับปัญหาการทุจริตจากการบริหารงานที่สลับซับซ้อนไม่โปร่งใสได้จริง ทำให้แท้จริงนั้น ประชาชนต่างหากคือผู้ที่จะควบคุมได้อย่างเกิดประสิทธิผลมากที่สุด การแบ่งแยกอำนาจการปกครองในมุมมองสมัยใหม่ จึงเป็นหลักการที่ถูกกล่าวถึงควบคู่ไปกับบทบาทหน้าที่ในการมีส่วนร่วมตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจโดยองค์กรผู้ใช้อำนาจของประชาชน

ต่อมานักปรัชญาการเมืองสมัยหลังได้แจกแจงอำนาจอธิปไตยตามแนวคิดของมงแต็สกีเยอออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติจะทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย ตามหลักการกว้าง ๆ แล้ว โดยกำหนดให้องค์กรผู้ใช้อำนาจบริหารหรือฝ่ายปกครองไปกำหนดรายละเอียด ด้วยการออกกฎ ข้อบังคับ ประกาศ อันเป็นกฎหมายลำดับรอง (subordinate Legislation) ให้เป็นไปอย่างสอดคล้องสัมพันธ์กับกฎหมายหลัก ในอันที่จะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเรื่องใด ๆ ในสังคม

ส่วนอำนาจบริหาร ถูกกำหนดให้ใช้โดยองค์กรหนึ่งที่เรียกว่ารัฐบาล (Government) ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดอำนาจหน้าที่ของตนเองไว้อย่างเคร่งครัด นอกไปจากนี้ องค์กรที่ใช้อำนาจบริหาร มีอำนาจตามชื่อในการบริหารราชการและปกครองประเทศ ภายใต้เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความกินดีอยู่ดีของประชาชน ส่วนอำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการวินิจฉัย พิจารณาพิพากษาบรรดาอรรถคดีทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาทระหว่างองค์กรภาครัฐกับองค์กรภาครัฐ องค์กรภาครัฐกับเอกชน หรือเอกชนกับเอกชน อย่างไรก็ตาม ขอบอำนาจในการพิจารณาประเภทข้อพิพาทดังกล่าวข้างต้น ย่อมถูกจำแนกแจกแบ่งไปตามองค์กรใช้อำนาจตุลาการหรือศาลที่ต่างกันไปในรายละเอียด เช่น อำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีอันเป็นข้อพิพาทระหว่างองค์กรภาครัฐกับองค์กรภาครัฐ องค์กรภาครัฐกับเอกชน หรือเอกชนกับเอกชน อันเกี่ยวกับคำสั่งหรือสัญญาทางปกครอง เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง ซึ่งในประเทศไทย มีฐานะเป็นระบบศาลหนึ่ง นอกเหนือไปจากศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

กระนั้นก็ตาม การแบ่งแยกอำนาจเป็นแต่ละฝ่ายดังกล่าวข้างต้น มิได้หมายความว่าอำนาจอธิปไตยที่ถูกแบ่งแยกเป็นแต่ละฝ่ายนี้จะต้องมีองค์กรรองรับการใช้อำนาจที่มีอำนาจเท่าเทียมกันแต่ประการใด จึงเป็นไปได้ที่องค์กรหนึ่งอาจมีอำนาจเหนือองค์กรหนึ่ง เพียงแต่ย่อมมิใช่การให้อำนาจที่เหนือกว่านั้นเป็นไปอย่างเด็ดขาด และเพื่อสร้างความสามารถในการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) จำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีการกำหนดมาตรการที่เป็นหลักประกันการใช้อำนาจในประการนี้ระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพ อธิปไตยในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามี 3 อย่าง 1. อัตตาธิปไตย 2. โลกาธิปไตย 3. ธรรมมาธิปไตย อัตตาธิปไตย คือการปกครองที่ถือตามความต้องการของตนเองหรือคนส่วนน้อยเป็นใหญ่ แบบราชา คณา โลกาธิปไตย หมายถึงการปกครองที่ถือตามความต้องการของคนส่วนมาก หรือประชาธิปไตยเป็นใหญ่ ธรรมมาธิปไตยหมายถึงการปกครองที่ถือตามความถูกต้องเป็นธรรม หรือปัจเจกชนเป็นใหญ่ (สมัชชา เนการขอความร่วมมือทุกคนมีสิทธิที่จะให้ร่วมมือหรือไม่ให้) โดยที่ถือการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยถือคุณธรรมในใจ (หิริ) สูงกว่ากฎหมาย (โอตตัปปะ) แบบจักกพรรดิ์หรือเลขาธิการ (การปกครองที่จารีต ประเพณีใหญ่กว่าอำนาจกฎหมาย)

 

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ประชาธิปไตย


ประชาธิปไตย

เป็นระบอบการปกครองแบบหนึ่ง ซึ่งบริหารอำนาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของพลเมือง ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย โดยพลเมืองอาจใช้อำนาจของตนโดยตรงหรือผ่านผู้แทนที่ ตนเลือกไปใช้อำนาจแทนก็ได้ ประชาธิปไตยยังเป็นอุดมคติที่ว่าพลเมืองทุกคนในชาติร่วมกันพิจารณากฎหมายและ การปฏิบัติของรัฐ และกำหนดให้พลเมืองทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการแสดงความยินยอมและเจตนาของ ตน

ประชาธิปไตยเกิดขึ้นในบางนครรัฐกรีกโบราณช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเอเธนส์หลังการก่อการกำเริบเมื่อ 508 ปีก่อนคริสตกาล ประชาธิปไตยแบบนี้เรียกว่า ประชาธิปไตยทางตรง ซึ่งพลเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องในกระบวนการทางการเมืองโดยตรง แต่ประชาธิปไตยในปัจจุบันเป็นประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน โดยสาธารณะออกเสียงในการเลือกตั้งและเลือกนักการเมืองเป็นผู้แทนตนในรัฐสภา จากนั้น สมาชิกสภาจเป็นผู้ตัดสินใจด้วยเสียงข้างมาก ประชาธิปไตยทางตรงยังมีอยู่ในระดับท้องถิ่นหลายประเทศ เช่น การเลือกตั้งสมาชิกเทศบาล อย่างไรก็ดี ในระดับชาติ ความเป็นประชาธิปไตยทางตรงมีเพียงการลงประชามติ การริเริ่มออกกฎหมายและการถอดถอนผู้ได้รับเลือกตั้ง

แม้ในปัจจุบัน ประชาธิปไตยจะยังไม่มีนิยามที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันก็ตามแต่ความเสมอภาคและอิสรภาพได้ถูกระบุว่าเป็นคุณลักษณะสำคัญของประชาธิปไตยนับแต่โบราณกาล หลักการดังกล่าวถูกสะท้อนออกมาผ่านความเสมอภาคทางกฎหมายของ พลเมืองทุกคน และมีสิทธิเข้าถึงกระบวนการทางกฎหมายโดยเท่าเทียมกัน ตัวอย่างเช่น ในประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน ทุกเสียงมีน้ำหนักเท่ากันทั้งสิ้น และไม่มีการจำกัดอย่างไร้เหตุผลใช้บังคับกับทุกคนที่ปรารถนาจะเป็นผู้แทน ส่วนอิสรภาพได้มาจากสิทธิและเสรีภาพตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งโดยทั่วไปได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญ

ประชาธิปไตยถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในกรีซโบราณ แต่วิธีปฏิบัติแบบประชาธิปไตยปรากฏในสังคมอยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งเมโสโปเตเมีย ฟินีเซียและอินเดียวัฒนธรรมอื่นหลังกรีซได้มีส่วนสำคัญต่อวิวัฒนาการของประชาธิปไตย เช่น โรมันโบราณ  ยุโรป  และอเมริกาเหนือและใต้ ] มโนทัศน์ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนเกิดขึ้นส่วนใหญ่จากแนวคิดและสถาบันซึ่งได้ถูกพัฒนาระหว่างยุคกลางของยุโรปและยุคภูมิธรรมในการปฏิวัติอเมริกาและการปฏิวัติฝรั่งเศส
ประชาธิปไตยได้ถูกเรียกว่า "ระบอบการปกครองสุดท้าย" และได้แพร่หลายอย่างมากไปทั่วโลก สิทธิในการออกเสียงลงมติในหลายประเทศได้ขยายวงกว้างขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป จากกลุ่มค่อนข้างแคบ (เช่น ชายมั่งมีในกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง ๆ) โดยนิวซีแลนด์เป็นชาติแรกที่ให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปแก่พลเมืองทุกคนใน ค.ศ. 1893

อุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology)

อุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology)

อุดมการณ์ คือ ระบบค่านิยมหรือความเชื่อที่บุคคลใด ๆ ยอมรับเสมือนว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือความจริง เช่น
-อุดมการณ์ ประชาธิปไตย คนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์นี้ต่างยอมรับว่าอำนาจอธิปไตยอันเป็นอำนาจสูงสุด เป็นของปวงชน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง คนเราต่างมีสิทธิเสรีภาพมีเหตุมีผลด้วยกันทุกคน มีความสามารถในการปกครองตนเองได้
-อุดมการณ์ ฟาสซิสต์ คนที่เชื่อมั่นในอุดมการณ์นี้ต่างยอมรับร่วมกันว่าผู้นำสูงสุดเป็นคนเดียว เท่านั้นที่จะนำพาประเทศชาติไปสู่เป้าหมายความเป็นเอกภาพ คนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน ผู้นำเป็นบุคคลพิเศษในหมู่ชนชั้นนำ ไม่ใช่ใครก็เป็นผู้นำได้
ฯลฯ
อย่าง ไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าทุกความเชื่อจะจัดเป็นอุดมการณ์ เช่น เชื่อว่าวิญญาณลูกชายที่เสียชีวิตไปมาสิงในร่างตัวเงินตัวทอง เลยจับมันมาอาบน้ำอาบท่าเลี้ยงดู เหมือนเป็นคน ความเชื่อแบบนี้ไม่ถือเป็นอุดมการณ์ ความเชื่อที่อาจจัดได้ว่าเป็นอุดมการณ์ ได้แก่ ความเชื่อที่มีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
1. ความเชื่อนั้นต้องเป็นที่ยอมรับร่วมกันของคนในสังคม  
2. เป็น ความเชื่อที่สัมพันธ์กับเรื่องราวที่สำคัญของสังคม ถ้าเป็นความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวของรัฐ เช่น อำนาจรัฐ การใช้อำนาจรัฐ รูปแบบการปกครอง ก็เป็นอุดมการณ์ทางการเมือง ถ้าความเชื่อนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางเศรษฐกิจก็จัดเป็นอุดมการณ์ทาง เศรษฐกิจ
3.  เป็น ความเชื่อที่คนในสังคมต่างยึดเป็นแนวทางการปฏิบัติในชีวิตอย่างสม่ำเสมอ เช่น อุดมการณ์ประชาธิปไตยเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผล เพราะฉะนั้นวิถีชีวิตของคนในสังคมประชาธิปไตยจึงให้เสรีภาพในการแสดงออก ยอมรับในเสียงข้างมาก เหตุผลใดที่สามารถจูงใจให้คนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นเหตุผลที่ดีที่ถูกต้องจะได้ รับการสนับสนุนโดยเสียงข้างมาก เป็นมติที่ประชุมนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป
4.  เป็น เครื่องมือสำคัญในการยึดเหนี่ยวกลุ่มคนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ เช่น ความรักใคร่ในหมู่ชาวค่ายอาสาพัฒนาชนบท ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกันรู้สึกว่าพวกตนล้วนเป็นพี่เป็นน้องกัน เวลาได้ยินเพลงของชาวค่ายแล้วน้ำตาพาลจะไหลคิดถึงบรรยากาศสมัยออกค่าย
สมัยอาจารย์เรียนอยู่ธรรมศาสตร์ช่วง พ.ศ. 2512 2515 เคยไปออกค่ายที่โรงเรียนบ้านเกิ้ง อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เพื่อปลูกฝังแนวคิดประชาธิปไตยแก่เยาวชน (ไม้อ่อนดัดง่าย) เด็กรุ่นนั้นบางคนปัจจุบันเป็นนายอำเภออาวุโสไปแล้ว อาจารย์เป็นหัวหน้าค่ายมา 4 ปี รู้ดีว่ายามทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกัน สุขก็สุขด้วยกัน ในการออกค่ายมีปัญหามาให้แก้มากมาย เช่น อยู่ไปไม่กี่วันข้าวสารหมด ลูกค่ายไม่มีข้าวกินต้องวิ่งหากันให้วุ่นวายแต่นั่นคือความสามัคคีของทุกคน ที่ต้องฝ่าฟันแก้ปัญหาร่วมกัน ถึงวันปิดค่ายทำกิจกรรมรอบกองไฟร้องเพลงประจำค่าย เราอาสาและพัฒนา ใจเริงร่าและสามัคคี…” สมาชิกก็น้ำหูน้ำตาไหลกันไป อาจารย์ยังจำภาพวันนั้นได้ดี  ผ่าน ไปสามสิบปีประมาณ พ.ศ. 2545 หน้าตาแต่ละคนเปลี่ยนแปลงไปมาก อาจารย์ได้รับเชิญไปบรรยายในโครงการร่วมมือกับสถาบันทหารชั้นสูง ลูกศิษย์เป็นทหารนั่งกันหน้าสลอน อาจารย์ก็สอนเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองเหมือนอย่างที่กำลังสอนให้นักศึกษา ฟังอยู่ขณะนี้ พอพักเบรกมีนายทหารคนหนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วตบป้าบเข้าไปที่ไหล่อาจารย์บอก มึงจำกูได้มั้ย ปรากฏว่าเป็นพรรคพวกที่เคยออกค่ายที่บ้านเกิ้งด้วยกัน พอรู้ว่าเป็นชาวค่ายร่วมกันมาก่อนทั้งอาจารย์และเพื่อนก็กอดกันกลม เกิดความรู้สึกของความเป็นพวกเดียวกัน เคยตกทุกข์ได้ยากกินข้าวหม้อเดียวกันมาก่อน เป็นคนร่วมอุดมการณ์เดียวกัน
หน้าที่ของอุดมการณ์
1. เป็นเครื่องมือช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับระบบการปกครองและสถาบันทางการ เมืองในขณะนั้น เช่น ประเทศไทยใช้อุดมการณ์ประชาธิปไตยเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง กระบวนการทางการเมืองภายในเป็นไปภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตย
2. ช่วยสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและระดมสรรพกำลังของคนในชาติ เช่น เมื่อเกิดวิกฤตรัฐบาลจะใช้อุดมการณ์ชาตินิยมปลุกจิตสำนึกประชาชนให้สามัคคี เป็นหนึ่งเดียวกัน ร้องเพลงชาติวนกันทุกจังหวัดมาจบลงที่กรุงเทพฯ เพลงปลุกใจถูกเปิดทุกวันเพื่อให้คนไทยสามัคคีกัน
3. ช่วยปลุกเร้ามวลชนโดยเฉพาะในยามที่บ้านเมืองมีปัญหา เช่น ในยามสงคราม ยามเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ประชาชนถูกปลุกเร้าให้รักชาติ ช่วยกันรัดเข็มขัด
4. ช่วยในการสื่อสารระหว่างกัน โดยใช้สื่อภาษาที่เข้าใจกันระหว่างผู้มีอุดมการณ์เดียวกัน
5. ช่วยให้เราสามารถแสดงออกถึงความต้องการ เป็นการช่วยปลดปล่อยแรงผลักดันจากภายในได้ เช่น ถ้าเรามีความอัดอั้นตันใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแต่ถ้ามีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ที่เข้าอกเข้าใจเรา จะช่วยให้เราระบายความอัดอั้นตันใจนั้นออกมาได้ เพื่อนจะรับฟังอย่างเข้าอกเข้าใจและสื่อสารต่อเนื่องกัน แต่ถ้าไปคุยกับคนต่างอุดมการณ์จะคุยกันไม่รู้เรื่อง
6. เป็นปัจจัยที่จะช่วยวิพากษ์วิจารณ์สังคมในตัวเอง ช่วยให้เกิดความเชื่อใหม่ที่ทนต่อการวิพากษ์ อุดมการณ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่ไม่อาจตอบคำถามของสังคมได้ผู้คน จะเสื่อมศรัทธา ไม่ยอมรับอุดมการณ์นั้น ๆ อีกต่อไปแต่จะหันไปยอมรับอุดมการณ์หรือความเชื่อใหม่
7. ช่วยให้คนออกมาเคลื่อนไหวหรือกระทำการทางการเมืองในรูปแบบใด ๆ ก็ได้ เช่น คนกัมพูชาออกมาเผาสถานทูตไทย
อุดมการณ์ทางการเมืองกับเศรษฐกิจ
ในทุกสังคมจะมีอุดมการณ์ใหญ่ ๆ สองอุดมการณ์คืออุดมการณ์ทางเศรษฐกิจและอุดมการณ์ทางการเมือง 

เขียน กราฟสองแกนให้แกนนอนเป็นอุดมการณ์เศรษฐกิจ แกนตั้งเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง                                                          ประชาธิปไตย
                                                                       
                                                A                                 B
            สังคมนิยม                                                                       ทุนนิยม
 
                                       C                                 D
                                                                        เผด็จการเบ็ดเสร็จ
 
ถ้า คนในสังคมเชื่อว่าอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในทางการเมืองควรตกอยู่ใน มือของคนส่วนใหญ่เรียกอุดมการณ์ทางการเมืองนี้ว่า ประชาธิปไตย ในทางตรงข้ามถ้าอำนาจอธิปไตยตกอยู่ในมือคน ๆ เดียว มีสิทธิใช้อำนาจอธิปไตยเพียงลำพังเรียกอุดมการณ์ทางการเมืองนี้ว่าเผด็จการ เบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) เช่น นาซี ฟาสซิสม์ (อำนาจสูงสุดอยู่ในมือผู้ปกครองเพียงคนเดียว)
แกน นอนเป็นความคิดความเชื่อเรื่องการจัดการทางเศรษฐกิจ (อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจ) ถ้าเชื่อว่าอำนาจในการกำหนดวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของประชาชนอยู่ในมือของคน บางคนบางกลุ่ม เรียกอุดมการณ์เศรษฐกิจนี้ว่าทุนนิยม ในทางตรงข้ามถ้าเชื่อว่าอำนาจในการกำหนดวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจของประชาชนอยู่ ในมือของสังคมโดยรวม เรียกอุดมการณ์เศรษฐกิจนี้ว่า สังคมนิยม สังคมเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต